Welcome

Welcome

Profile

Profile

แนะนำ หลักสูตร การพัฒนาตนเองและทำงานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558

โค้ชคม สูตรแห่งความสำเร็จในชีวิต


โค้ชคม นิยามความสุข


โค้ชคม เล่นเกมออมทรัพย์


โค้ชคม ทำความรู้จักผู้เข้าอบรม


โค้ชคม ตามดู รู้จิตตัวเอง



วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

3 วิธีจัดการความทุกข์ง่ายๆ

..
เมื่อมีความรู้สึก "ทุกข์" เข้ามา
..
3 วิธีจัดการความทุกข์ง่ายๆ
..
1. ดูมันอยู่เฉย โดยไม่ต้องต่อยอดความทุกข์
คือ ..ไม่ต้องหาเหตุผลมาสนับสนุนทุกข์นั้น
แล้วปล่อยให้มันคลาย และหายไปเอง
..
2. ให้ขอบคุณเหตุการณ์ต่างๆที่ทำให้คุณรู้สึกทุกข์ ณ ตอนนั้น
คือ แปลความหมาย หรือ ตีความหมาย
ในเรื่องราว  ในเหตุการณ์นั้นๆ
ให้เป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ควรขอบคุณ
..
3. ค้นหามุมมองที่ดี มีความสุข
จากเหตุการณ์ที่คุณคิดว่าทุกข์ ให้เจอ
ด้วยการมองโลกตามความจริง
จากความเข้าใจว่า มีทุกข์ ก็ต้องมีสุข คู่กัน
เมื่อวางทุกข์ลง ก็จะเหลือแค่สุขคงอยู่
ให้คุณได้เก็บเกี่ยวเอาประโยชน์จากเหตุการณ์นั้นๆ
..
คุุณไม่ได้หลีกหนีทุกข์ แต่คุณกำลังเข้าใจทุกช์มากขึ้น
.. ว่า ..
ทุกข์นั้น มักนำพาความสุขมาให้
ทุกข์นั้น มักผูกติดเอาความสุขมามอบให้
เป็นรางวัลให้คุณเสมอ ทุกครั้ง .. นั่นเอง

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

ความเชื่อ เป็น วิทยาศาสตร์ สามารถพิสูจน์ได้จริง

..
ความเชื่อ เป็น วิทยาศาสตร์ สามารถพิสูจน์ได้จริง
ความเชื่อ เป็น วิธีการป้อนข้อมูล ใส่เงื่อนไขความสำเร็จ
เข้าสู่สมองได้เข้มข้นที่สุด
..
เมื่อเชื่อว่าจะได้ ก็จะได้
อะไรที่มนุษย์เชื่อ มนุษย์จะดึงดูดสิ่งนั้นเข้ามา
กฎแรงดึงดูด จะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
..
ปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นกับคุณ จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
แต่เป็นเรื่องที่คุณตั้งใจจริงๆอย่างเข้มข้น
ที่ต้องการให้มันเกิดขึ้น
..
ด้วยการที่คุณตอกย้ำ ข้อมูลที่ต้องการซ้ำๆ
บ่อยๆ ทุกวันๆ อย่างสม่ำเสมอ
พลังแห่งแรงดึงดูดก็จะน้อมนำสิ่งนั้นเข้ามาหาคุณ
..
แม้แต่อะไรที่มันไม่จริง
แต่ถ้าคุณเชื่อ มันจะกลายเป็นความจริง
..
..
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ..
ถ้าสิ่งที่คุณต้องการ
เป็นสิ่งที่สร้าง"ความภาคภูมิใจ"
ให้กับตัวคุณเองได้ด้วยแล้ว
ก็จะยิ่งทำให้ความเชื่อนั้น
นำ"ความสุข"ผูกติดตามมาอีกด้วย
..
เมื่อเชื่อด้วยปัญญา จะเกิดความเข้าใจได้ว่า
พลังความเชื่อ มีพลังผลักดัน และดูดกลืน
ให้มนุษย์ได้ในสิ่งที่หวัง
ด้วยการฝังสิ่งที่ต้องการเข้าไปในสมอง
สมองจึงทำหน้าที่.."กลั่นกรอง"..
เอาวิธีการทำออกมาให้ เพื่อใช้ไปสู่สิ่งที่ต้องการ
ซึ่ง.."วิธีการ"..ที่กลั่นออกมาได้นั้นเรียกว่า "ปัญญา"
..
อย่างไรก็ตาม "ปัญญา" ที่ได้ในช่วงแรก
อาจยังไม่ใช่ปัญญาที่ถูกต้อง สมบูรณ์พร้อมใช้ได้ผลในทันที
แต่นั่นคือวิธีการที่ดีที่สุด ที่สมองของคุณในขณะนั้นกลั่นกรองออกมาได้
..
"ปัญญา" จะพัฒนาได้เร็วไว
เมื่อใช้ประสบการณ์ ผ่านการทดลอง
การค้นพบแนวทางใหม่ๆ
ด้วยพลังใจ (ใจที่เป็นปกติ ใจสงบ ใจสบาย : ศีล)
และข้อมูลที่ดี (Information & Knowledge)
มีการคิดถึงอย่างตั้งมั่น จดจ่อ ต่อเนื่อง (สมาธิ)
..
มนุษย์ มักจะไม่ค่อยเชื่ออะไรง่ายๆ
ด้วยมีเหตุผลเยอะมากไป
ทำให้วิตก วิจารณ์ มากเกินไป
..
มนุษย์..จึงแสวงหาวิธีการที่ง่ายที่สุดที่จะ"เชื่อ"ให้ได้
เพื่อนำพาใจไปสู่ความเชื่อ เชื่อใจ เชื่อมั่น
พร้อมที่จะเป็นตะเกียงส่องแสงสว่างให้กับตัวเอง
..
บางคนอาศัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เครื่องรางของขลัง
เพื่อให้สิ่งเหล่านั้น นำพาให้เชื่อได้อย่างสนิทใจ
..
ฉะนั้น ความจริง จึง อยู่ที่ ความเชื่อ
ถ้าคุณเชื่อ คุณจะเป็น
ถ้าคุณเป็น คุณจะได้
ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าหากคุณเชื่อใจในตัวเองมากพอ .. นั่นเอง

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2558

มนุษย์ไม่มีสิทธิ์ตัดสินตัวเองว่า ถูกหรือผิด

..
มนุษย์ไม่มีสิทธิ์ตัดสินตัวเองว่า ถูกหรือผิด
คนอื่นก็เช่นกัน เค้าก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินตัวเอง หรือตัดสินใครๆ ได้เช่นกัน
..
เพราะ คนทุกคน ต่างก็เหมือนกัน เท่าเทียมกัน
ธรรมชาติให้มาเหมือนกันอย่างสมดุลย์
..
เหมือนดอกไม้นานาพรรณ ต้นไม้ชนิดต่างๆ นานา
เพื่อให้โลกมีสีสัน สดใส สวยงาม สมดุลย์
มีคุณค่าในแบบของแต่ละคน แต่ละอย่าง อย่างสมบูรณ์
..
มนุษย์ เหมือนกัน กับทุกสรรพสิ่ง
..
ฟ้าปกคลุม โอบล้อมคนทุกคน
ไม่แยก ไม่แบ่งว่า คนรวย คนจน คนสวย คนหล่อ
แผ่นดินไม่ได้แยก แบ่งว่าคนนี้เหยียบได้ คนนี้เดินไม่ได้
อากาศมอบชีวิตให้กับคนทุกคนได้หายใจ
คนทุกคน ต้องแก้กระหายด้วยน้ำ
เป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด ทั้งนั้น
..
ฉะนั้น จึงไร้เหตุผล ที่จะแบ่งแยกเรา แบ่งแยกเขา
ด้วยปัญญาข้อนี้ เราจะละวาง ความทุกข์ได้ง่าย
ทุกสรรพสิ่ง ที่เป็นของไม่จริง
โชค วาสนา ชื่อเสียง เกียรติยศ ยี่ห้อแบรนด์ดัง ฯลฯ
หลอกกันไป ลวงกันมา ให้งงงันกันไปตามๆกัน
..
ด้วยสัจจธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตื่นรู้
ทรงทำให้เห็นแจ้งแล้วนั้น
เราทุกคนจึงสามารถหลุดพ้นทุกข์
และหยิบเอาความสุขได้แบบสบาย
มองเห็นสุขที่อยู่ในตัวคนทุกคนได้ อย่างเป็นธรรมชาติ
เป็นของเข้าใจได้ง่ายตามธรรมดา .. นั่นเอง
..

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558

ความฝัน ก็คือ ความจริง

..
ความฝัน ก็คือ ความจริง ..
เมื่อคุณคิด คุณจะรู้สึก ถึงสิ่งๆนั้นทันที
..
ไม่ว่า สิ่งนั้นจะดี หรือไม่ดี .. ไม่ว่าสิ่งนั้น จะถูกหรือผิด
..
สมองจะเข้าใจว่า..นั่นคือ.."ความจริง"
ในช่วงที่คุณนอนหลับสนิท
สมองคุณจะแยกไม่ออกเลยว่า
นี่คือเรื่องจริง หรือ ความฝัน มันจะคิดว่า .. นั่นคือ เรื่องจริงเสมอ
..
โลกแห่งความเป็นจริงก็เช่นกัน
เมื่อคุณฝันถึงสิ่งที่คุณต้องการ ตั้งใจจะเอามาให้ได้
ปฏิกริยาอากัปกริยา อาการภายนอก จะปรากฏออกมา ทันที
ผ่านสายตา ภายแววตา ผ่านมุมปาก
ผ่านสารที่หลั่งออกมาจากการสั่งของสมองเข้าสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย
..
คุณจึงมีสิทธิ์ฝัน
คุณจีงมีหน้าที่คิดถึงฝัน
คิดถึงด้านดีดีของตนเอง
คิดถึงด้านดีดีของคนอื่น ..
..
ความฝันถึงความสุข คือ
หน้าที่อันดับแรก ในทุกเช้า
ก่อนที่จะทำสิ่งอื่นสิ่งใดในโลกนี้ ..
และเป็นหน้าที่สุดท้ายก่อนจะหลับตานอน
..
ในแต่ละวัน คุณต้องมองให้เห็นข้อดีของคุณเอง
แล้วคุณก็จะมองเห็นคุณค่า ข้อดีของคนอื่นไปโดยอัตโนมัติ
..
คุณไม่จำเป็น ต้องไปฟัง เหตุผล เก่าเก่า ของตัวเอง
หรือ เหตุผลเดิมเดิม ของคนอื่นๆ ที่ร้ายๆ ที่ทำลายความรู้สึก
ไม่จำเป็นต้องฟังเพลงเศร้า ดูหนังเศร้า รันทด หดหู่
ข่าวคราว ข่าวสารต่างๆ ที่ปิดบังคุณจากความคิดดีดี
..
คุณเพียงเข้าใจว่า .. สิ่งดี สิ่งนั้น มีอยู่กับตัวอยู่แล้ว..
โลก เอกภพ จักรวาล รังสรรค์ สร้างสรรค์ มาให้คุณเป็น ..
..
ไม่ว่าจะเป็นความจน ความผิดพลาด
ความรวย ความไม่หล่อ ความพิการ
ความสวย ความมีการศึกษาน้อย
ความมีไอคิวสูง ความมีจิตใจ ความรู้จักกลัว ความรู้จักกล้า ฯลฯ
..
ทั้งหมดนี้
ล้วนแล้วแต่เป็นข้อดี ที่จะผลักดัน คุณให้ไปสู่ความสำเร็จในชีวิตทั้งนั้น
..
เงื่อนไขเดียวก็คือ ..
คุณต้องมองเห็นด้วยใจ ถึงคุณค่าในสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับคุณ
และแปลความหมาย แปรเปลี่ยนให้มันเป็นความรู้สึกที่ดี กับคุณให้ได้ ในทุกๆวัน
..
นี่คือ อาชีพแรก
นี่คือ งานแรก
ที่คุณต้องทำ ในแต่ละวัน ให้ดีที่สุด .. เพื่อความเจริญก้าวหน้า.. และฝันที่เป็นจริง .. นั่นเอง


จิตใจน้อม..นำพาให้เข้าใจ..นำไปใช้ชีวิตอย่างแท้จริง

..
ไม่สำคัญว่าคุณจะเข้าวัดบ่อยแค่ไหน
จึงจะ"เห็นแจ้งในธรรม"
..
ไม่ได้อยู่ที่คุณเข้าคอร์สอบรมสัมมนามากี่ครั้ง
จึงจะใช้ความรู้ ความสามารถ
ในการดำเนินชีวิตให้ไปถึงเป้าหมายที่ต้องการได้
..
แต่สำคัญอยู่ที่ ในแต่ละครั้งที่ไป
คุณได้น้อมใจ ซึมซับเรื่องราวเหล่านั้นมากแค่ไหน
..
คนที่ อินมาก ซึมซับมาก
รู้สึกร่วมไปกับกิจกรรมที่ทำ ณ ปัจจุบัน มาก
ก็จะนำความเข้มข้นนั้น ไปใช้ในชีวิตได้อย่างแท้จริง
..
ฉะนั้น นอกจากพระในวัด ท่านจะเทศนาดีแล้ว
หรือ วิทยากรจะถ่ายทอดเก่งแล้ว ก็ตาม
..
ก็ยังต้องอาศัยผู้เข้ารับฟัง มีใจน้อมนำมาด้วยเช่นกัน ..นั่นเอง

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2558

เวลาของมนุษย์ มีไม่เท่ากัน

..
เวลาของมนุษย์ มีไม่เท่ากัน
..
เพราะมนุษย์สามารถสร้างงานคุณภาพจริงๆได้
ในช่วงระยะเวลาที่ไม่เท่ากัน
มนุษย์ใช้เวลา
ในการปล่อยใจให้ปกติ สบาย(ศีล) อย่างต่อเนื่อง(สมาธิ)
กระทั่งเกิดเป็นงานคุณภาพ(ปัญญา) ได้ไม่เท่ากัน
..
แท้จริง มนุษย์แต่ละคน ..
ต้องการเวลาจริงๆ ไม่มากเท่าไหร่เลย ..
เพียงแค่ รู้ตนเอง
ค้นพบตนเอง ให้เจอ ให้เห็น ให้เป็น ..
แล้วขายความเป็นตนเองได้
..
ไม่จำเป็นต้องดูนาฬิกา ว่า 1 วัน 24 ชั่วโมง
ทำงานไปแล้วทั้งหมดกี่ชั่วโมง
..
เพราะ ระยะเวลาในการทำงาน
ไม่ได้ตอบโจทย์ความสำเร็จของงาน
..
คุณภาพ คุณค่า ของงาน สำคัญกว่า ปริมาณงาน ที่เกิดขึ้น
..
หากขายตนเองเป็น
ขายคุณค่าของงานที่เกิดขึ้นจากตัวเราเป็น
Promote โฆษณาตัวเองให้เป็น
Present นำเสนอตัวเองให้เป็น
ด้วยการค้นหาจุดเด่น จุดดี ของตัวเอง
ทำให้คนส่วนใหญ่ได้เห็นว่าดี ได้รู้ข้อดี ได้ประโยชน์สุข
ทำให้คนส่วนใหญ่ประทับใจ จากผลงานที่ยอดเยี่ยมของคุณ
เพราะ คนส่วนใหญ่จะจดจำคุณได้ ไม่ได้เกิดจากสมอง ไม่ได้เกิดจากเหตุผล
แต่คนส่วนใหญ่จะจดจำคุณได้ เกิดจากจิตใจ เกิดจากความรู้สึก
เพราะ คนส่วนใหญ่ก็คือคนเหมือนกับคุณ
คุณชอบยังไง คุณกังวลยังไง คุณมีความรู้สึกยังไง
คนส่วนใหญ่ก็มีความรู้สึกอย่างนั้น ด้วยเช่นกัน
..
ซึ่งนั่น .. จะทำให้คุณประสบความสำเร็จ
..
ยกตัวอย่าง ศิลปินวาดภาพชื่อดัง ที่วาดภาพเก่งมาก
แต่ นำเสนอผลงานของตัวเองไม่เป็น
กว่าคนจะมารู้คุณค่าก็ต่อเมื่อ ตายไปแล้ว ..
..
ขณะที่ ระยะเวลา ในการวาดภาพนั้นๆ
ไม่ได้ใช้เวลานานเลยสักนิด
..
ตรงกันข้ามกับศิลปิน ที่สามารถนำเสนอผลงานของตัวเอง
ในแบบฉบับของตนเอง
ดึงผู้คน ให้เข้าไปอยู่ในโลกของเขาเองได้เป็นอย่างดี
..
ก็สามารถขายผลงานชิ้นเดียวในโลกของตัวเองได้
..
ซึ่งก็เปรียบเสมือนคนแต่ละคน
ที่เกิดมามีราคาค่างวด นับเป็น พันล้านบาท
เพราะเค้าเกิดมาเป็นหนึ่งเดียว เป็นสินค้าเพียงชิ้นเดียวในโลก
 หากเค้านำเสนอตัวเองเป็น
เค้าก็จะค้นพบคุณค่า  ราคาที่มีอยู่อย่างมหาศาลในตัวเอง
..
และสามารถ ประสบความสำเร็จในชีวิต ได้อย่างง่ายดาย ..นั่นเอง

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558

พื้นฐานแห่งรัก

..
พื้นฐานแห่งรัก
..
มักจะมี 2 ความรู้สึก เป็นพื้นฐานสำคัญ คือ ..
ความรู้สึกขอบคุณ หรือ
ความรู้สึกหวาดกลัว
..
..
ถ้าทำด้วยความรู้สึกขอบคุณ
วิธีการแสดงความรักของคุณจะเป็นแบบ..
อยากตอบแทนความรักที่เธอมอบให้
ประหนึ่งเหมือนคนรักของคุณ
ได้มอบสิ่งที่วิเศษให้แก่คุณมาตั้งมากมายแล้ว
คุณจึงห่วงใย เข้าใจ พร้อมให้อภัยอยู่เสมอ
อันเป็นที่มาแห่งความรักที่เป็นสุข
..
ถ้าทำด้วยความกลัว
วิธีการแสดงความรักของคุณจะเป็นแบบ..
หวาดระแวง ระแวด ระวัง
กลัวจะสูญเสียคนที่คุณรักไป
กลัวว่าเค้าจะไม่รักคุณ เหมือนอย่างที่คุณรักเค้า
ความรักแบบนี้ จะเกิดความหึงหวง ครอบครอง หน่วงเหนี่ยว
ไม่มีความเป็นอิสระทั้งทางด้านร่างกาย และ อิสระทางด้านจิตใจ
อันเป็นที่มาแห่งความรักที่เป็นทุกข์
..
ฉะนั้น เมื่อคุณมีความรัก จึงต้องรู้จักรักให้เป็น
รักอย่างไร ให้เป็นสุข รักอย่างไร ให้เราและเขา
ได้พากันเจริญก้าวไป ในทิศทางแห่งจิตใจที่เบิกบาน และงดงาม ..นั่นเอง
..
..
..
..
..
มีคนเค้าว่ากันว่า..
..
เวลาสามี ภรรยา ทะเลาะกัน
ความรู้สึกของผู้หญิง กับ ผู้ชาย จะต่างกัน
..
ผู้ชาย จะเดินหนี เพราะ
ผู้ชายจะทนเห็นคนที่เค้ารัก
กำลังโกรธเค้า หรือกำลังรู้สึกแย่กับเค้า .. ไม่ได้
..
ในขณะที่ผู้หญิง มีความรู้สึกว่า
การเดินจากไป คือ การบอกว่า.. "เธอไม่รักฉันแล้ว"
..
ผู้หญิงรู้สึกว่า..ให้เธอกับฉันยืนทะเลาะกันนานแค่ไหนก็ได้
แต่อย่าจากฉันไปไหน
..
นั่นคือธรรมชาติ ของคนรักกัน
บนพื้นฐานของความรักกัน
..
เพียงแต่ ไม่เข้าใจ ความรู้สึกของกันและกันเท่านั้นเอง
ก็เลยตีความหมาย แปลความหมาย ผิดเพี้ยนไป จากความจริง
..
..
เมื่อเหตุการณ์นั้น มันผ่านไป
เราจึงค่อยๆ ใช้ ความรู้สึกดีดี
อารมณ์ดีดี มาพูดคุยกัน
โดยตัดความโกรธ ความไม่พอใจ ออกไป
ก็จะทำให้ ทั้งสองฝ่าย เปิดใจ และเกิดความเข้าใจกันและกัน
..
..
..
ผู้รู้จึงบอกว่า..
เมื่อไหร่ก็ตาม ที่เกิดความไม่เข้าใจ ..ทะเลาะกัน
..
ให้ผู้ชาย เข้าใจ
ด้วยการเคารพความรู้สึกของผู้หญิง
อยู่เคียงข้างเค้า
..
ไม่ว่าตอนนั้น เค้าจะรู้สึกไม่ดี
หรือ มีเหตุผลยังไง
ก็ให้อยู่เคียงข้างกันเอาไว้ก่อน
(เพราะในความหมายลึกๆแล้ว
ผู้หญิงอยากจะบอกว่า .. ช่วยกอดฉันเอาไว้หน่อยได้มั้ย)
..
..
อย่างไรก็ตาม ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา
เพราะไม่มีใครเกิดมา เป็นนักรักมืออาชีพ
..
แม้แต่พ่อแม่ของเรา ท่านก็รักเรามาก
..
แต่ท่านก็แสดงออกทางความรู้สึกได้ ไม่ดี ไม่ตรงกับที่ใจเราคิดเลย
ทั้งๆที่ ข้อเท็จจริงคือ .. ต่างก็รักกัน.. นั่นเอง

ทุกสรรพสิ่ง..ล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน

..
จระเข้ ช้าง ม้า วัว ควาย
ยุง แมงมุม พยาธิ คน ใบไม้ ดิน น้ำ อากาศ ฯลฯ
ทุกสรรพสิ่ง..ล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน มีความสัมพันธ์กัน
เกี่ยวข้องกัน แยกกันไม่ออก
เป็นวัฏจักร หมุนเวียน เปลี่ยนไปตามกาลเวลาอยู่อย่างนั้นไม่รู้จบ
..
ช่วงนี้เขาเกิดเป็นสิ่งนี้ อย่างนี้
ช่วงนี้เราเกิดเป็นสิ่งนั้น อย่างนั้น
ผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนกัน ตามวาระกรรม
..
เขามีบ้าน ก็เท่ากับเรามี
เขาขับรถดีดี ก็เท่ากับ เรามีขับด้วย
ด้วยความรู้สึกดีไปกับเขา
ด้วยความรู้สึกมีความสุขไปกับเขา
..
เมตตาธรรม จะนำไปสู่ความเข้าใจ
ว่าเราทุกคน ทุกสรรพสิ่ง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เพียงแต่แปรสภาพไปอย่างนั้นบ้าง อย่างนี้บ้าง
ตามวาระของใครของมัน
..
ความเข้าใจข้อนี้
จะทำให้เรามองโลกได้ง่ายขึ้น สวยงามขึ้น
ใช้ชีวิตได้ดีขึ้น ง่ายขึ้น มีความสุขมากขึ้น
..
ทำร้ายเขา ก็เท่ากับทำร้ายเรา
แบ่งปันให้เขาก็เท่ากับแบ่งปันให้เรา
ยิ้มให้เขาก็เท่ากับยิ้มให้เรา
ฯลฯ
..
ทำอะไร ให้กับใคร อย่างไร
ก็เท่ากับทำให้ตัวเราเอง อย่างนั้นด้วยเช่นกัน
เพราะ "กฏแห่งกรรม" เขาก็คือเรา เท่าเทียมกันทั้งนั้น ..นั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2558

การพิพากษาใจ

..
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณตัดสินคนอื่นว่านิสัยใจคอเป็นยังไง
เมื่อนั้นก็เท่ากับเป็นการพิพากษานิสัยของคุณเองในทันที
..
การที่คุณมองเห็นการกระทำ
หรือ ตัดสินใครคนนั้น ว่า..อุปนิสัยดี หรือไม่ดียังไง
..
ไม่ได้เกิดจาก ตัวคนๆนั้นว่า เขาดีหรือไม่ดี จริงหรือไม่
แต่นั่นหมายถึง การตัดสินใจบอกตัวเองไปแล้วว่า
"ฉัน เป็น คนแบบนั้น"
..
เพราะข้อเท็จจริง
ไม่ได้อยู่ที่สิ่งภายนอก
ไม่ได้อยู่ที่คนอื่น
ไม่ได้อยู่ที่เหตุการณ์สถานการณ์ใดใด
..
แต่ มันเกิดจากความคิดภายในจิตใจของคุณ
..
สิ่งนั้น คนนั้น
จะถูกหรือผิด
ก็เพราะการแปลความหมายตามความคิด
..
สิ่งนั้น คนนั้น เหตุการณ์นั้น
จะดี หรือ ไม่ดี
ก็เพราะการตีความตามความรู้สึก
..
ฉะนั้น
ระมัดระวังการกล่าวโทษคนอื่นไว้อยู่เสมอ
เพราะ จิตใต้สำนึกจะจดจำ
เซลล์สื่อประสาทในสมอง
จะจดจำเรื่องราวทั้งที่ดีและไม่ดี
..
ดังนั้น
เพื่อให้ จิตใจอันดีงามของคุณ ได้จดจำเงื่อนไขที่ดี
เพียงคิดถึงเรื่องราวดีดี รู้สึกดี มีความสุข
ซึ่งจะส่งผลให้พฤติกรรม ออกมาดี
ในขณะที่สมองก็จะหลั่งสารที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย
สุขภาพร่างกายจะแข็งแรง สุขภาพจิตจะเบิกบาน
แล้วผลลัพธ์ต่างๆในชีวิตก็จะดีอย่างเป็นระบบ..นั่นเอง

ศิลปะของการเป็น "ผู้รับ" สำคัญ พอๆ กับการเป็น "ผู้ให้"

..
ศิลปะของการเป็น "ผู้รับ"
สำคัญ พอๆ กับการเป็น "ผู้ให้"
..
โดยเฉพาะ .. "การปฏิเสธ" สิ่งที่ผู้ให้เต็มใจให้..
เป็นสิ่งที่ควรพึงระวังมากที่สุด
เพราะ นั่นมีความหมายว่า ..
ผู้ให้กำลังถูกคุณต่อว่า และ ดูถูกอย่างแรง
ประหนึ่งเหมือนกับว่า ..
ผู้ให้นั้น จะไม่มีความสามารถในการให้แบบนี้ได้อีกในครั้งต่อไป
ความเกรงใจของคุณจึงเท่ากับเป็นการดูถูก
ซึ่งก็คือการทำร้ายผู้ให้ในทันทีทันใด
..
อันจะส่งผลให้ครั้งต่อไป ก็จะไม่มีใครกล้าให้อะไรดีดีกับคุณ
นั่นก็เป็นเพราะ เค้ารู้ว่า เมื่อให้ไป ก็จะต้องรู้สึกเสียน้ำใจอีกอยู่ดี
..
..
โปรดรับสิ่งของที่ผู้ให้เต็มใจให้..นั้นมา
เพราะในขณะที่คุณเป็น"ผู้รับ"
คุณก็กำลังเป็น"ผู้ให้"ไปในตัว
..
นั่นคือ .. เมื่อคุณกำลังเป็นผู้รับเป็นสิ่งของ
คุณก็กำลังมอบความสุขแก่ผู้ให้กลับคืนไป
..
และเมื่อไหร่ที่คุณได้ให้วัตถุสิ่งของกับใครไป
คุณก็กำลังได้รับความอิ่มเอมใจกลับคืนมาด้วยเช่นกัน .. นั่นเอง
..
..

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558

การทำสมาธิ


การมาของปัญญา

..
การมาของปัญญา
..
ด้วยการทำความเข้าใจในเบื้องต้นก่อนว่า ..
..
"สมอง" เป็นเพียงตัวเก็บข้อมูล
เก็บเงื่อนไขต่างๆ ที่คุณป้อนเข้าไป
"สมอง" ไม่ได้ทำหน้าที่คิด ..
แค่มีหน้าที่จดจำ และทำตามเงื่อนไขที่เคยเกิดขึ้น
..
ที่เราเข้าใจและรู้สึกว่า สมองคิด นั้น ก็เป็นเพราะ
สมอง มีหน้าที่ทำความรู้สึกต่าง ๆ
ให้เป็นอย่างที่ถูกวางเงื่อนไขไว้ตั้งแต่แรก
..
..
ส่วนตัวปัญญา มีจิตใต้สำนึก เป็นผู้ช่วย
ที่จะเข้ามาทำการจัดเรียงข้อมูลให้อย่างเป็นระบบ
และ ช่วยดึงเอาข้อมูลจากสมอง มาค้นหาคำตอบให้
ในสิ่งที่คุณต้องการ สำหรับเป้าหมาย และความสำเร็จในชีวิต
..
..
ดังนั้น
เมื่อไหร่ก็ตามที่คนเราอยากเปลี่ยนพฤติกรรม
ที่ร้ายๆ ให้กลายเป็นดีดี
ต้องการเปลี่ยนเงื่อนไขใหม่ให้กับสมอง
จากทุกข์ กลายเป็น สุข
..
จะต้องให้ ลบล้างเหตุผลเดิมๆ ออกไปเสียก่อน
ด้วยวิธีการ ไม่ให้ "จิตสำนึก" เข้ามาช่วยคิด
เพราะ มนุษย์จะไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรม
หรือ เปลี่ยนอุปนิสัยได้ ถ้าหากใช้เพียงแค่ระดับของเหตุผลดีดี
แต่ มนุษย์จะเปลี่ยนเพราะได้รับรู้ข้อมูลดีดี ย้ำๆซ้ำๆบ่อยๆ
..
..
วิธีที่ง่าย และ ได้ผลเร็วที่สุด
นั่นก็คือ "วิธีการสะกดจิต"
เพื่อให้จิตสำนึกทำงานน้อยลง
แล้วปล่อยให้จิตใต้สำนึก เข้ามาทำงานให้มาก
ทำงานได้อย่างเต็มที่ ไม่มีตัวมารบกวน
ในช่วงป้อนข้อมูลที่ดีดี เข้าไปใหม่
..
..
และ นั่น จะทำให้เกิดปัญญา ..
ที่จะช่วยค้นหาคำตอบที่ดีที่สุด
ให้กับชีวิตที่ดีงาม เจริญงอกงาม
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2558

นิยามความสุข..ของคุณคืออะไร..??

..
ถ้ามีการตั้งคำถามว่า..
..
ในรัศมี 200 เมตร รอบตัวเรา ..มีใครบ้างที่ไม่ทุกข์ ..??
ถ้าคำตอบคือ..ไม่มี
..
ก็ต้องตั้งคำถามอีกด้วยว่า..
แล้วในรัศมี 200 เมตร รอบตัวเรา
หรือรัศมี 200 ปีแสง.. มีใครบ้างที่ไม่มีความสุข .. ??
ถ้าคำตอบคือ .. ไม่มี ..
..
..
แสดงว่า เราทุกคนล้วนแล้วแต่มีความสุขกันทั้งนั้น
..
เพียงแค่..รู้จักมองเห็นมัน .. เพราะสุขกับทุกข์มาคู่กัน
..
ทุกคนจึงมีหน้าที่ .. ที่จะต้องมีความสุข เป็นอันดับแรก
ตั้งแต่ตื่นนอน ก่อนที่คุณจะไปทำหน้าที่อย่างอื่นในชีวิต
..
และก่อนหลับตานอน หรือ ก่อนตายก็ตาม
คุณก็ต้องทำหน้าที่.."มีความสุข"
เป็นอย่างสุดท้ายด้วยเช่นเดียวกัน .. นั่นเอง

เมื่ออยู่กับกิเลส .. ก็ต้องใช้กิเลสให้เป็น..


วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558

มองโลก..ตามความเป็นจริง

..
มองโลก..ตามความเป็นจริง
..
คนโลกสวย ก็ต้องเข้าใจว่า มีโลกขี้เหร่ อยู่ด้วย
เพียงแค่ไม่เอาโลกขี้เหร่มาทำร้ายให้ใจเจ็บ
แล้วเลือกเอาโลกสวยมาใช้ด้วยความเข้าใจว่า..
ก็แค่เลือกมอง เลือกใช้ คัดสรรสิ่งที่ดี สิ่งที่เป็นสุข ให้กับชีวิต
..
พระพุทธองค์ทรงตรัสสอน ให้เห็นทุกข์ แล้ววางทุกข์ ด้วยมรรค 8
ก็เมื่อ สุขกับทุกข์ มาคู่กัน แล้ว
คุณเลือกวางทุกข์ ก็จะเหลืออะไรอยู่เล่า..?
หากไม่ใช่ "ความสุข"
..
สุดท้ายบั้นปลายชีวิต .. ก็เลือกว่า
ไม่ว่าโลกสวย หรือ โลกขี้เหร่ ก็เป็นเพียงของสมมุติ ของลวงหลอก
เมื่อคุณ "วางทุกข์" ได้ตั้งแต่ที่ยังมีลมหายใจ
เมื่อจากโลกนี้ไป ก็ย่อมจะทำใจ "วางสุข" ให้ได้ ด้วยเช่นกัน
เพื่อเข้าสู่นิพพาน อันเป็นความสุขที่ไม่ต้องการสมมุติใดใดเลย ก็เท่านั้น..นั่นเอง

สูตรแห่งความสำเร็จ ในชีวิตมนุษย์


วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558

กฏแรงดึงดูด .. คุณแค่เลือกความสุข แล้วมันจะเกิดขึ้นทันที


วิธีการเกิดปัญญาของมนุษย์

..
ตั้งคำถาม ตั้งโจทย์
ถึงสิ่งที่เราต้องการในชีวิต..ให้กับ"จิต"
แล้วระลึกถึงสิ่งนั้นอยู่อย่างต่อเนื่อง (สมาธิ)
..
แล้ว"ปัญญา"จะเกิดขึ้น.. ตามมาเอง
ยิ่งมีข้อมูลที่ดีมาก (Information)
ก็จะต่อยอดปัญญาได้เร็วไว
ยิ่งระลึกถึงสิ่งที่ต้องการบ่อยๆเสมอๆ
ก็จะเร่งให้เกิดปัญญาในสิ่งที่ต้องการนั้นได้เร็วไวยิ่งขึ้น
..
ปัญญา คือการ
รู้ด้วยตัวเอง
เข้าใจด้วยตัวเอง
รู้สึกได้ด้วยตัวเอง
มีความสุขได้ด้วยตัวเอง
..
..
ย้ำๆซ้ำๆ กับคำพูดดีดี ประโยคดีดี ภาพดีดี ความรู้สึกดีดี
ตั้งคำถามกับตัวเองดีดี
(ไม่สร้างเงื่อนไขให้กับตัวเอง)
บอกตัวเองอยู่เสมอ จดจ่อ ตั้งใจมั่น อย่างต่อเนื่อง ว่า
ฉันทำได้ ฉันคู่ควร ฉันมีคุณค่า ฉันมีความสุขที่สุด
ฉันทำเป้าหมายในชีวิตได้ดีมากกว่าที่ฉันคิดได้
..
..
คุณคู่ควรมีชีวิตที่เต็มไปด้วยปัญญา ได้รับคำตอบ จากการตั้งคำถามที่ดีที่สุด .. นั่นเอง

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2558

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2558

นักต้มตุ๋น..ที่เก่งที่สุดในโลก


ตั้งคำถามที่ดี .. ให้กับชีวิต


มองเห็น "ข้อดี" ให้ได้ .. ในทุกเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นกับชีวิต .. ด้วยปัญญาของคุณ

..
ตรวจคำตอบในชีวิต ด้วยความคิด
..
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดทุกข์ นั่นเท่ากับว่าคุณคิดผิด
..
ถ้าเราจะรู้สึกดีกับอะไร กับใคร ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลใดมารองรับ
..
เรารู้สึกดีกับคนนั้น สิ่งนั้นได้เลยทันที
อย่าเอาระดับพลังแค่ความคิด หรือเอาเหตุผล มาตัดสินความสำเร็จ
..
เพราะแค่เพียงจิต คุณบอกเซลล์สื่อประสาทยังไง
คุณก็จะได้อย่างนั้น
..
ง่ายๆเท่านั้นเอง
ไม่อย่างนั้นคุณจะถูกความคิดที่มีเหตุมีผลมากมาย
ฉุดรั้งคุณเอาไว้จากความสำเร็จในชีวิตที่คุณต้องการ นั่นเอง
..
คุณเพียงแต่ ทำไปเรื่อยๆ ด้วยใจที่เบิกบาน มีความสุข
แล้วความสำเร็จทุกประการที่คุณปรารถนาจะถาโถมเข้ามาหาคุณเอง

เทคนิคการพูดดี


วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เงื่อนไขในความสำเร็จของมนุษย์ไม่เคยมีมาก่อนเลย


ขันธ์ 5 หลักการสร้างความสำเร็จในชีวิต


กฎไตรลักษณ์ ก็เหมือน กฎหมาย .. เพราะไม่ว่าคุณจะรู้หรือไม่ .. คุณก็ไม่อาจหนีพ้นอยู่ดี

..
อนัตตา เป็น สิ่งที่มีตัวตนอยู่ แต่ไม่ได้เป็นของจริงแท้
..
อนัตตา คือ ความไม่มีใครเป็นเจ้าของของตัวมันเอง
..
เราเอง ก็ไม่ใช่เจ้าของตัวเราเอง
..
..
อนัตตา ก็ คล้ายกับ "ตัวปรสิต" คือ
มันไม่ได้เป็นเจ้าของในตัวมันเอง
ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง
..
ต้องอาศัยสิ่งอื่น จึง จะดำรงอยู่ได้
เมื่อคุณไม่ผูกติด หาของภายนอกมากระทบจิต
คุณจะรู้สึกสบาย
..
มีมาก มีน้อย ไม่ได้ทำให้ ทุกข์มาก ทุกข์น้อย
แต่
การทุกข์มาก ทุกข์น้อย
อยู่ที่การเอาจิตไปผูก กับสิ่งอื่นๆ
มาก  หรือ น้อย ต่างหาก
..
หากใจไม่ยึดติดสิ่งของ
ไม่ยึดติด ความคิด รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
..
ไม่เอาจิตไปผูกพัน
..
จิตใจจะรู้จักแบ่งปัน
สงบสุข เบิกบาน
เบา เบา สบาย ไปตลอดเวลา
ที่จับความรู้สึกของจิตได้
..
ด้วยความเข้าใจความคิดของคุณเอง
อย่าให้สมองหลอกลวงตัวเองได้อีกต่อไป
ไม่มีใครเป็นเจ้าของใคร
..
..
มันว่างเปล่า  สงบ เหมือน อากาศ ที่อยู่ได้ทุกที่
..
เฉยๆ แม้อยู่ท่ามกลางเปลวไฟ
เฉยๆ แม้อยู่ท่ามกลางหิมะ
เป็นเหมือนสูญญากาศทีอยู่ได้ทุกที่ในเอกภพ จักรวาล
..
โดยอยู่ในสภาวะเฉย
เบา เบา สบาย ได้ทุกที่
..
ร้อน ก็ รู้ว่าร้อน แต่ไม่เป็นทุกข์กับความร้อน
หนาว ก็รู้ว่า รู้สึกหนาว แต่ไม่เป็นทุกข์กับความหนาว
..
แม้อายตนะทั้ง 5 จะทำให้วิญญาณรู้สึกอย่างไร ก็ตาม
..
จิตที่เข้าใจ ความเป็นอนัตตา
ความไม่ผูกติดกัน
ความไม่มีใครเป็นเจ้าของกันและกัน
..
ทุกสิ่ง ทุกคน ต่างทำหน้าที่ของตนเองไปอย่างนั้น ก็เท่านั้น นั่นเอง

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2558

พรหมวิหาร 4 ธรรมต้นแบบ ในการต่อยอดไปสู่การเป็น “ผู้นำ” ที่ดี

..
พรหมวิหาร 4 ..หมายถึง.. ที่อยู่แห่งความประเสริฐ 4 ประการ
..
เป็นธรรมที่ช่วยให้ การดำรงอยู่ร่วมกันในสังคม เป็นไปอย่างมีความสุข
ทั้งการอยู่กับครอบครัว กับญาติพี่น้อง กับเพื่อนฝูง กับเจ้านาย กับลูกน้อง
..
จึงถือเป็นธรรมต้นแบบ ในการต่อยอดไปสู่การเป็น “ผู้นำ” ที่ดี
อันประกอบด้วย
..
"เมตตา" หมายถึง เกิดความรู้สึกในใจ อยากเห็นผู้คนมีความสุข
เป็นความรู้สึกของผู้นำที่ต้องการเห็นผู้ตามเจริญรุ่งเรืองในชีวิต
จึงทำให้เกิดเป็นความเห็นอกเห็นใจ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
เกิดปิติสุขขึ้นในใจเป็นอันดับแรก
ครั้นพอเมื่อรู้สึกแล้ว .. ก็เกิด “ความกรุณา”.. ตามมา
..
"กรุณา" หมายถึง อยากให้ผู้คนพ้นทุกข์
เป็นแนวทางของผู้นำ ที่อยากให้ความช่วยเหลือ ให้ข้อเสนอแนะ
ผลักดัน ส่งเสริม สนับสนุน ให้ผู้ตามได้รับความสุขความเจริญ
ทั้งในด้านหน้าที่การงาน และด้านการใช้ชีวิตครอบครัว
เมื่อเกิดการแบ่งปันความรู้ แบ่งปันความสามารถ
จึงทำให้ระบบการทำงานเป็นไปได้ดีอย่างมีประสิทธิภาพ
ส่งผลต่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เป็นลำดับต่อไป
..
"มุทิตา" หมายถึง ยินดีเมื่อเห็นผู้คนมีความสุข
เป็นแนวทางของผู้นำ ที่รู้สึกยินดี มีความสุขไปกับทุกคนด้วย
เมื่อได้เห็นความเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงาน
ผู้ตาม หรือ เพื่อนร่วมงาน มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
รู้สึกปลาบปลื้มปิติ อันเกิดจากความรักอย่างจริงใจให้กันและกัน
เข้าใจได้ว่า .. การแข่งขันกับใจตัวเองเท่านั้น
ที่สำคัญยิ่งไปกว่าการแข่งขันกับคนอื่น
..
"อุเบกขา" หมายถึง ปล่อยวางใจให้สงบ เข้าใจธรรมชาติในการทำงาน
เป็นภาวะผู้นำ สำหรับการวางตัวเป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
พร้อมช่วยเหลือทุกคน ตามกำลังที่พอจะช่วยเหลือได้
โดยไม่เดือดร้อนต่อตัวเองและผู้อื่น
ไม่ช่วยเหลือมากเกินไป..จนผู้ตามทำงานไม่เป็น
ไม่ช่วยเหลือน้อยเกินไป..จนผู้ตามทำงานไม่ได้
..
..
ฉะนั้น .. แนวทางการใช้ พรหมวิหาร 4 ในการบริหารนั้น
จึงเป็นแนวทางของจิตใจที่งดงามเป็นหลักเบื้องต้น
เมื่อผู้นำมีจิตใจที่ดี มีทัศนคติที่ดี มีความรู้สึกที่ดี
ก็จะทำให้เกิดความคิดที่ดี .. ส่งต่อไปเป็นการกระทำที่ดี
การกระทำที่ดี ก็ย่อมส่งผลลัพธ์ให้เกิดเป็นความเจริญก้าวหน้าที่ดี ต่อเนื่องตามกันไป
..
จึงเปรียบเสมือนเอาตัวเองไปอยู่บนวิหาร สวรรค์ชั้นพรหม โดยที่ยังมีลมหายใจอยู่ .. นั่นเอง

ลักษณะของภาวะผู้นำที่ดี

..
ลักษณะของภาวะผู้นำที่ดี
..
ขั้นที่ 1 คือ .. ผู้นำโดยตำแหน่ง ..
ซึ่งทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดกันว่า ..
การมีตำแหน่ง หมายถึง การมีภาวะผู้นำ
แต่ความจริงนั้น ตำแหน่งคือภาวะผู้นำขั้นต่ำสุด
ที่คนทำตามเพราะเกรงว่าสายงานบังคับบัญชาจะมีปัญหา
..
ขั้นที่ 2 คือ .. ผู้นำที่สร้างความสัมพันธ์
เป็นลักษณะของผู้นำที่ดูแลผู้ตามได้เป็นอย่างดี
คอยให้การสนับสนุน ช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ
หาข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาร่วมกันอยู่เสมอ
ทำให้ผู้ตามรู้สึกอบอุ่นใจ
..
ขั้นที่ 3 คือ .. ผู้นำที่สร้างผลงาน
เป็นลักษณะของผู้นำที่มีผลงานชัดเจน
ส่งผลลัพธ์ที่ดีต่อองค์กร
ทำให้ผู้ตามสามารถปฏิบัติตามได้โดยง่าย
และอยากเจริญรอยตาม
เพราะรู้ว่า ถ้าตามมาแล้วจะสามารถทำผลงานได้ดีเช่นกัน
..
ขั้นที่ 4 คือ .. ผู้นำที่สร้างผู้นำ
เปรียบเสมือน ศาสตราจารย์ที่สามารถสร้างศาสตราจารย์ขึ้นมาได้
ผู้นำที่สร้างผู้นำขึ้นมาได้นั้น
มักจะเป็นที่ต้องการของหลายๆองค์กร
เพราะสามารถผลิตคนเก่ง พัฒนาคนให้มีความชำนาญ
ทำให้ผู้ตามสามารถพัฒนาเป็นหัวหน้างาน
พัฒนาไปเป็นผู้จัดการ เป็นผู้บริหารได้ในที่สุด
ซึ่ง ผู้นำในลักษณะนี้ จะก้าวไปอีกขั้นในฐานะ.. ที่ปรึกษาทางด้านธุรกิจ
ทำให้เจ้าของกิจการหวงแหน และให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
..
ขั้นที่ 5 คือ .. ผู้นำที่สร้างความศรัทธา
เป็นลักษณะของผู้นำที่มีแบบอย่างของผู้ให้ที่ดี
ทั้งในชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว
ทำให้ผู้ตามเกิดความสุขที่ได้ทำงานร่วมกับคนดีๆ
และพร้อมทุ่มเททำงานให้ด้วยความสมัครใจ
..
..
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 5 ลักษณะของภาวะผู้นำนี้
สามารถรวมอยู่ได้ในตัวคนๆเดียว
ด้วยการใช้ "ความรู้สึกที่ดี&ทัศนคติที่ดี" เป็นหลักสำคัญ
..
เริ่มต้นจาก .. การรู้สึกดีกับตัวเอง
ซึ่งถือว่าเป็นการ "นำตนเอง" ให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก
..
จากนั้น จึง "นำผู้อื่น" ด้วยการมองเห็นคุณค่าในตัวเอง
เพื่อจะได้รู้จักการมองเห็นคุณค่าของผู้อื่นไปพร้อมกัน
..
แล้วรู้จัก "มอบอำนาจบางส่วน" ให้กับผู้ตามได้เรียนรู้
เปิดโอกาสให้ผู้ตามได้ลองทำ ได้ผิดพลาดเล็กๆน้อยๆบ้าง
อันจะก่อให้เกิดความเข้าใจงาน และมีการพัฒนาอย่างดียิ่ง
..
สุดท้ายให้ .. "นำองค์กร" ด้วยการวางเป้าหมายร่วมกัน
ให้ทีมงานได้มองเห็นของความเจริญก้าวหน้าในชีวิต
ทั้งของตนเองและขององค์กรอย่างชัดเจน
รู้ว่าเมื่อองค์กรเติบโตก้าวหน้า
ทีมงานทั้งหมดก็จะก้าวไกลไปด้วยเช่นกัน
..
ด้วยความเข้าใจนี้ .. จะส่งผลให้บุคคล
ได้ทำหน้าที่ในการเป็นผู้นำได้อย่างยอดเยี่ยมและยั่งยืน
เป็นความสุข ความสำเร็จที่งดงาม โดยถ้วนหน้ากัน .. นั่นเอง

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2558

พระพุทธศาสนา และ จิตวิทยา มุ่งมั่นศึกษาค้นคว้าที่มาของพฤติกรรมมนุษย์

..
พระพุทธศาสนา และ จิตวิทยา
มุ่งมั่นศึกษาค้นคว้าที่มาของพฤติกรรมมนุษย์
..
เพื่อให้รู้และเข้าใจอุปนิสัยและการกระทำของผู้คนบนโลก ..ว่า
ทำไมคนจึงรู้สึกอย่างนี้ ทำไมจึงถ่ายทอดอารมณ์ออกมาอย่างนี้
ทำไมจึงประสบความสำเร็จอย่างนี้ ทำไม่จึงประสบความล้มเหลวอย่างนี้
..
เมื่อเข้าใจ และ ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงแล้ว
ก็จะสามารถจัดการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมต่างๆ
ของมนุษย์ได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์
..
เพียงแต่กระบวนการศึกษาของทางพุทธศาสนา
เป็นไปในแบบ Inside-out
คือ การมองจากภายในจิตใจ สู่การกระทำภายนอก
..
ในขณะที่กระบวนการศึกษาทางจิตวิทยา
เป็นไปในแบบ  Outside-in
คือ การมองจากพฤติกรรมภายนอก เข้าไปสู่ภายในจิตใจ
ทำวิจัยซ้ำไป ซ้ำมา หลายครั้ง
..
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองกระบวนการ
เมื่อได้ทำการศึกษาค้นคว้าแล้ว ก็ได้ข้อสรุปได้อย่างยอดเยี่ยม
กระทั่งสามารถนำมาสู่ ..การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมนุษย์ได้
ในรูปแบบที่เป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
มีเหตุ มีผล เมื่อทดลองทำซ้ำ แล้วก็จะได้ผลลัพธ์ เหมือนเดิมทุกครั้ง
..
คุณจึงสามารถ มีชีวิตที่มีความเจริญก้าวหน้า และมีความสุขได้ทันที
ด้วยคำตอบสุดท้ายที่ว่า ..
ทันทีที่มนุษย์คิดอะไร ไม่ว่าจะดีหรือร้าย มนุษย์จะได้ผลลัพธ์นั้นทันที
ในขณะที่.. ไม่ว่ามนุษย์ทำอะไร จะดีหรือร้ายก็ตาม
มนุษย์ก็จะได้ผลลัพธ์นั้นทันที ด้วยเช่นเดียวกัน
..
ดังนั้น .. คุณจึงสามารถพัฒนาจัดการชีวิตให้เจริญก้าวไกลได้ทันที
ด้วยวิธีการเริ่มต้น "คิดดี" .. "ทำดี"
และสุดท้าย คุณก็จะได้ "ผลลัพธ์ที่ดี" .. ก็เท่านั้น ..นั่นเอง

คุณเคยตั้งคำถาม..หรือสงสัยบ้างหรือเปล่าว่า.. คนเรา..เกิดมาทำไม..??

..
คุณเคยตั้งคำถาม..หรือสงสัยบ้างหรือเปล่าว่า..
คนเรา..เกิดมาทำไม..??
..
มีผู้รู้ตอบคำถามนี้ ได้อย่างน่าสนใจว่า..
..
ที่คนเราเกิดมานั้น..ก็เพื่อ.."ชดใช้กรรม"
..
จึงทำให้มีการตั้งคำถามต่อไปอีกว่า..
แล้วทำไมในชาติแรกก่อนที่มนุษย์จะเกิดมา..จะมีกรรมมาจากที่ไหน..??
..
คำถามนี้น่าสนใจ..ใช่มั๊ยครับ..!!
ซึ่งมีคำตอบมากมายที่พยายามจะอธิบายเรื่องนี้
..
อย่างไรก็ตาม .. มีหนึ่งคำตอบที่ดูเหมือนจะใกล้เคียงความจริงมากที่สุด
เป็นคำตอบที่ดูเหมือนว่า..มีความน่าจะเป็นได้มากที่สุด
..
คำตอบนั้น..ก็คือ..
..
ก่อนที่มนุษย์จะเกิดมา..เพื่อชดใช้กรรมนั้น..
ในจิตเดิมแท้ของมนุษย์..บริสุทธิ์ว่างเปล่า..
..
แต่ที่มนุษย์เกิดมา..แล้วสร้างเวรกรรมนั้น..ก็เพราะ..
..
"ความไม่รู้"..
..
"ความไม่รู้" หรือพระท่านเรียกว่า "อวิชชา"
ทำให้คนเราต้องเกิดมา..ด้วยจิตที่เข้าใจผิด คิดว่า..การเกิดมาเป็นความสุข
จิตที่ถูกนำมาผสมผสานกับธาตุ 4 (ดิน น้ำ ลม ไฟ) กลายเป็นสิ่งมีชีวิตขึ้นมา
สิ่งมีชีวิตที่เกิดมาเหล่านี้ .. ไม่เคยมีความรู้มาก่อนว่า .. การเกิดเป็นทุกข์
แต่เมื่อเกิดมาแล้ว ก็ต้องเจ็บ ต้องป่วย ต้องแก่ ต้องตายไปในที่สุด
..
คนเราไม่เคยรู้เลยว่า ..
ที่เราต้องเกลียดกัน โกรธกัน ทำร้ายกัน ต่างเป็นไปเพราะ "ความไม่รู้" ..
แท้จริงแล้ว ..
คนเราไม่จำเป็นต้องเกลียด ต้องโกรธ ต้องทำร้ายกันเลยสักนิด
แต่ที่คนเราทำไปอย่างนั้น ก็เพราะเข้าใจผิด คิดว่า
ความโกรธ ความเกลียด เป็นสิ่งที่ควรกระทำ
แล้วก็สร้างเวร สร้างกรรม กันแบบที่ไม่รู้ว่านั่นเป็น "ความทุกข์"
ต่อกันไปเรื่อยๆ วนเวียนไม่จบไม่สิ้น
..
แม้แต่ กรรมที่เกิดจากความรักกัน ห่วงใยกัน หวังดีต่อกัน ..
ก็เป็นกรรมด้วยเช่นเดียวกัน
เมื่อคุณทำกรรมดี ก็จะได้รับผลกรรมดีในที่สุด
เมื่อคุณทำกรรมไม่ดี ก็จะได้รับผลของกรรมไม่ดีในที่สุด
..
เหตุการณ์ต่างๆ ทั้งร้ายและดี ที่คุณได้พบเจอ
ต่างเป็นเหตุเป็นผลของกรรมที่คุณสร้างมา
..
คุณเพียงแค่ยอมรับผลของกรรมนั้น .. แล้วปล่อยวาง
ไม่ก่อร่างสร้างกรรมใหม่ขึ้นมาอีก
..
หยุดทุกความเกลียด ความโกรธ ที่ไม่จำเป็นอีกแล้ว
เพราะคุณเห็นตัว"อวิชชา"แล้ว
..
ถึงเวลาที่คุณได้รู้แจ้งแล้ว ตื่นแล้ว .. และ"หยุด" ได้แล้ว
..
เมื่อคุณทำกิจการงานต่างๆ ด้วยจิตว่าง ..
ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่ยึดติดกับอารมณ์ที่มากระทบ
ให้ใจสบายๆ และใช้สมาธิ อยู่กับงานที่ทำอยู่ ณ ตอนนี้ ..
งานนั้นก็จะสำเร็จไปทีละขั้น ตามลำดับ
และเป็นไปตามที่คุณตั้งเป้าหมายเอาไว้อย่างเป็นสุข .. ตามเหตุตามผลของกรรมเท่านั้น.. นั่นเอง

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2558

การให้อภัย คือการช่วยเหลือใจและร่างกายของตัวเอง

..
การให้อภัย คือการช่วยเหลือใจและร่างกายของตัวเอง
..
ทุกครั้งที่คุณคิดถึง..
คนที่ทำให้คุณเสียใจ โกรธ เกลียด ไม่ชอบ ไม่พอใจ
นั่นคือ..การทำร้ายตัวเองอย่างโหดร้ายทารุณที่สุด
เพราะเมื่อภาพของเขาเหล่านั้นผุดขึ้นมาในความคิด
จะส่งผลให้ชีวิตคุณ..เครียด กังวล เป็นทุกข์
ซึ่งสมองก็จะหลั่งสาร Cortisol ออกมา
ทำให้ระบบต่างๆในร่างกายทำงานผิดปกติไปหมด
จนส่งผลให้เกิดโรคร้ายต่างๆ ตามมามากมาย
โดยที่ไม่สามารถใช้"ยา"ตัวไหนในโลกรักษาให้หายขาดได้
..
ดังนั้นเมื่อไหร่ที่คุณได้“ให้อภัย”แก่ใครสักคนที่คุณไม่พอใจ
จึง"ไม่ได้"เป็นการไปช่วยเหลือเค้าคนนั้นได้รู้สึกดีขึ้นมา
แต่มันหมายถึง..
คุณได้ช่วยเหลือตัวเราเอาไว้..
ให้มีจิตใจที่ผ่อนคลาย เบาสบาย ไปพร้อมกับร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์
..
เพราะการเกลียดใครสักคน
เขาอาจไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกโกรธ เกลียดนั้น จากคุณได้
โดยเฉพาะ ถ้าหาก เค้าไม่ได้สนใจ หรือ ใส่ใจที่จะคิดไปกับคุณด้วย
ซึ่งอาจสูญเสียเวลาเปล่า..ในการคิดทำร้ายตัวเองอยู่เพียงฝ่ายเดียว..
..
ดั่งคำที่ว่า.."ไม้ขีดไฟนั้น..ก่อนที่มันจะเผาอะไร มันจะเผาตัวเองก่อนเสมอ"
..
ชีวิตที่เป็นสุข..จึงอยู่ที่ใครเห็นทุกข์ ..แล้วหยุดได้ก่อนกัน..ก็เพียงเท่านั้น .. นั่นเอง

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เส้นทางแห่งความเจริญและความสำเร็จใดใดในโลก พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้เป็นหลักธรรมใน “อิทธิบาท 4”

..
เส้นทางแห่งความเจริญและความสำเร็จใดใดในโลก
พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้เป็นหลักธรรมใน “อิทธิบาท 4”
แปลว่า “ทางดำเนินไปสู่ความสำเร็จ”
..
อันถือเป็นต้นแบบที่ช่วยให้บุคคลที่ต้องการจะประสบความสำเร็จ
ใช้เป็นเครื่องค้นหา..“งาน”..ที่้เหมาะสม
เป็นงานเฉพาะทาง เฉพาะตัว เฉพาะตน
เป็นปัจจัตตัง คือ ต้องค้นพบงานนั้นให้ได้ด้วยตัวเอง
..
ประกอบด้วย
-ฉันทะ (LOVE & LIKE) :
คือ งานที่คุณรู้สึกรัก คุณรู้สึกชอบ คุณรู้สึกสนุก รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำ
-วิริยะ (DOING & SKILL)
คือ เมื่อคุณทำงานนั้น ซ้ำๆ ย้ำบ่อยๆ ไปเรื่อยๆ
ธรรมชาติจะสร้างให้คุณมีทักษะ ในงานนั้นๆ
ก่อให้เกิดความชำนาญ สามารถทำงานนั้นได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น
แถมผลลัพธ์ของงานนั้น ก็ยังดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นลำดับอีกด้วย
-จิตตะ (PASSION & SELF ESTEEM)
คือ เมื่อคุณมีความหลงใหลในงานที่ทำ บางครั้งถึงกับเก็บเอาไปนอนฝัน
เป็นปลื้ม ภูมิอก ภูมิใจ  ในงานที่ทำ และเห็นคุณค่าตนเองเพิ่มมากขึ้น
มองเห็นประโยชน์ของงานนั้นๆที่จะช่วยเหลือผู้คนในสังคมได้เป็นอย่างดี
-วิมังสา (KNOWLEDGE & DEVELOP)
คือ การศึกษาหาความรู้ ในการทำกิจการนั้นให้สำเร็จ
จากการฟังบ้าง ถามบ้าง อ่านบ้าง
พูดคุยกับคนเก่งบ้าง หาข้อมูลจากอินเทอเน็ต ค้นคว้าด้วยตัวเองบ้าง
เพื่อหาแนวทางในการพัฒนางานนั้นๆ ให้ดียิ่งๆขึ้นไป
เช่น เมื่อมองเห็นสินค้าในท้องตลาด ที่มีอยู่แล้ว
ก็หาแนวทางพัฒนาให้สวยขึ้น ใช้ได้สะดวกขึ้น ง่ายขึ้นกว่าเดิม เป็นต้น
..
ดังนั้น หากใช้หลักธรรม ข้อนี้ ในการค้นหา .. “งาน”..ที่ใช่สำหรับคุณ
คุณก็จะได้พบหนทางเดินที่เป็นตัวของตัวเอง
อันจะเป็นแสงสว่างส่องนำทาง
ให้คุณเดินไปสู่ความเจริญก้าวหน้าในชีวิตอย่างแน่นอน.. นั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงตะวัน ก็เบ่งบานขึ้นมาทันที

..
พระพุทธองค์ทรงแบ่งบุคคลเป็น 4 จำพวก
อุปมาเปรียบได้ดั่ง บัว 4 เหล่า
อันเป็นต้นแบบของ"ทฤษฎีการเรียนรู้ของมนุษย์"ในยุคปัจจุบัน
..
ดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ  เมื่อต้องแสงตะวัน ก็เบ่งบานขึ้นมาทันที
เรียกบุคคลประเภทนี้ว่า .. "รู้ ..ว่า .. ตัวเองรู้"
เป็นผู้ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด
รู้ว่าตัวเองนั้น ค้นพบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างแน่นอน
เพราะเมื่อได้อ่าน ได้ฟังเรื่องราวใดๆก็สามารถรู้ และเข้าใจได้ในเวลาอันรวดเร็ว
..
ดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำ  ซึ่งจะผลิบานในวันถัดไป
เรียกว่าเป็นประเภท .. "รู้ ..ว่า .. ตัวเอง ไม่รู้"
เป็นบุคคลที่มีสติปัญญาดี  รู้ว่าตัวเองยังไม่มีความรู้มาก
จึงหมั่นฝึกฝนเพิ่มเติม อ่านมาก ฟังมาก ศึกษามาก
จึงสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเอง ให้เข้าใจชีวิตได้ในเวลาอันไม่ช้า
..
ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งค่อยๆ โผล่ขึ้น จะเบ่งบานได้ในวันใดวันหนึ่ง
เรียกว่าเป็นประเภท .. "ไม่รู้ ..ว่า .. ตัวเอง รู้"
เป็นบุคคลที่มีสติปัญญา มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ
อยู่ในช่วงค้นหาตนเองว่า มีพรสวรรค์ทางด้านใด
หากเมื่อรู้ตัวแล้ว ก็จะใช้พรแสวงต่อยอดเพื่อพัฒนาตัวเองต่อไป
ที่สุดแล้วก็จะสามารถรู้และเข้าใจหลักการดำเนินชีวิตได้ในวันข้างหน้า
..
ดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม  จะยังไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน
เรียกว่าเป็นประเภท .. "ไม่รู้ ..ว่า .. ตัวเอง ไม่รู้"
เป็นบุคคลที่มีสติปัญญาน้อย ยังผ่านการศึกษาจากผู้รู้ไม่มาก
และสำคัญตนเองไปว่า สิ่งที่ตนเองรู้นั้น มีมากมายเพียงพออยู่แล้ว
อันถือว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ
ซึ่งต้องอาศัยความทุกข์ เพื่อให้เห็นทุกข์ ด้วยตัวเอง
ครั้นเมื่อต้องการพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น จึงจะเปิดใจใฝ่เรียนรู้ในภายหลัง
..
นั่นเอง

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2558

"ความเจ็บ"..ไม่น่ากลัว .. เท่ากับ.. “การกลัวเจ็บ”

..
"ความเจ็บ"..ไม่น่ากลัว .. เท่ากับ.. “การกลัวเจ็บ”
..
ความเจ็บปวดทางร่างกาย หรือ ทางจิตใจนั้น ..ไม่ได้ “น่ากลัว” อะไร
ความคิดว่าจะ “เจ็บ”  .. นี่แหละที่ “น่ากลัว” ยิ่งกว่า
..
ในขณะที่ ตัว“ความกลัว”  ก็ไม่ได้ทำให้คุณ “เจ็บ”
แต่ความคิดถึง “ความกลัว” มันจึงจะทำให้คุณรู้สึก “เจ็บ” ..
..
“ความเจ็บ”  ทุกอย่างในโลกนี้ มันเป็นเพียง “เจ็บชั่วคราว”
แต่ความคิดถึง “การเจ็บ” จะทำให้คุณรู้สึก “เจ็บถาวร”
คุณจึง เจ็บซ้ำๆ ซากๆ .. เพราะ  ความเจ็บถูกคุณคิดถึง ถูกขยี้ ย้ำๆ อยู่เป็นประจำ
..
ที่คุณรู้สึกเจ็บปวดอยู่ทุกวัน .. จึงเป็นเพราะ..
คุณกำลัง “กลัว” ความเจ็บปวดอยู่ ณ ตอนนี้
..
ด้วยความเข้าใจ ธรรมชาติข้อนี้
คุณก็จะตื่นรู้ เห็นแจ้งในธรรม ได้ว่า ..
ทุกวินาที ของชีวิต .. คุณไม่มีความจำเป็นต้อง “เจ็บ” เลยสักนิด
..
ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน  หยุดหุนหันไปกับความกลัว..ในอนาคต
และหยุดวิตก กับความเจ็บ ที่มันเกิดแล้ว ดับไปแล้ว ..ในอดีต
ให้ชีวิตของคุณ ดำรงอยู่กับความสบายกาย สบายใจ ในแบบง่ายง่าย .. ก็เท่านั้น ..นั่นเอง

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ทำไมคนเรา .. ?? มีเวลา 24 ชั่วโมง .. เท่ากัน แต่ประสบความสำเร็จ.. ไม่เท่ากัน

..
ทำไมคนเรา .. ??
มีเวลา 24 ชั่วโมง .. เท่ากัน
แต่ประสบความสำเร็จ.. ไม่เท่ากัน
..
มีผู้รู้ให้คำตอบได้น่าสนใจว่า ..
ก็เป็นเพราะคนเรานั้นได้รับ .. “โอกาสทางความคิด”..ต่างกัน
..
ความจริงแล้ว..
เป้าหมายในชีวิตของมนุษย์ ถูกออกแบบมาให้ประสบความสำเร็จเท่ากัน
ขึ้นอยู่กับ การตีความ ในเรื่องราวที่แต่ละคนพบเจอ
การแปลความหมายในชีวิต มีผลลัพธ์ตรงตามที่คุณคิดเสมอ
คุณ .. จะเป็น .. อย่างที่คุณคิด ..
คุณ .. จะได้ .. ในสิ่งที่คุณต้องการ
..
เด็กที่เกิดในสลัม พ่อแม่แยกทางกัน มีอุปสรรค มีปัญหาเหมือนกัน
แต่จะประสบความสำเร็จในชีวิตต่างกัน ..
เพราะได้รับ.. "โอกาสทางความคิด" ต่างกัน
..
ถ้าเค้าได้รับโอกาสให้เค้า เข้าใจว่า..
โลกใบนี้ได้จัดสรรเรื่องราวที่สำคัญ
จักรวาลได้ออกแบบเพื่อผลักดัน ให้เค้าเป็นสิ่งที่สวยงาม
..
เมื่อเค้ายอมรับ และ ตอบรับการสื่อความหมายของโลก
ไปในทิศทางที่ดีงาม เบิกบาน สดชื่น มองเห็นคุณค่าของตัวเอง
เค้าก็จะตื่นรู้ได้ว่า.. ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิต
ธรรมชาติจะผลักดันเรา..ให้ไปสู่สิ่งที่ดีงามเสมอ
จักรวาล เอกภพ คือเพื่อนแท้ ที่คอยสนับสนุน ไม่ใช่ศัตรูที่คอยกลั่นแกล้ง
..
คุณจึงต้องเรียนรู้ ที่จะ "คิด" ให้เป็น
และเรียนรู้ ที่จะ "เชื่อ" ให้เป็น
ด้วยการ .. การคิดถึง นึกถึง จินตนาการถึง รู้สึกถึง
เรื่องราวที่ดี เรื่องราวที่มีคุณค่า เรื่องราวที่มีความสุข
ค่อยๆสร้างความรู้สึกเชื่อมั่น เชื่อถือ เชื่อใจ ในตัวเอง ไปเรื่อยๆ
..
เพื่อให้ชีวิตสนุกกับการเรียนรู้
และเปิด “โอกาสทางความคิด” ให้กับตัวเอง ในทุกๆวัน .. นั่นเอง

กุญแจ แห่งความสุข เป็นของคุณเอง

..
กุญแจ แห่งความสุข เป็นของคุณเอง
..
คนเราส่วนใหญ่
มักจะมอบกุญแจแห่งความสุขของตัวเอง..ไป "ฝาก"ไว้ในมือคนอื่น
..
เมื่อถึงเวลาที่คุณต้องการเปิดประตูความสุข
คุณก็จะไปตาม ถามหากุญแจดอกนั้นกับผู้คนทั่วไป
..
พอเค้าไม่เอากุญแจให้ ซึ่งหมายถึง
เค้าไม่ได้แสดงออกกับคุณอย่างที่คุณอยากให้เค้าเป็น
เค้าไม่เป็นอย่างที่คุณนึกภาพเอาไว้
คุณก็จะรู้สึกไม่พอใจ คุณก็จะหงุดหงิด โกรธ โมโห บ่น
..
สังเกตได้จาก ตอนที่ตัวคุณเอง
มักจะกล่าวโทษคนที่คุณรัก หรือ คนในสังคม
ว่าทำไมถึงทำอย่างนั้น ทำไมไม่ทำอย่างนี้
อย่างนี้ดีกว่า อย่างนั้นไม่ดีเลย ฯลฯ
..
ทำให้ชีวิตคุณผูกติด มีปมผูกมัด มีเงื่อนไข เยอะแยะไปหมด
กว่าจะได้รับความสุขกาย สบายใจ แต่ละครั้ง ก็ยากแสนยาก
..
แท้จริงแล้ว ..
คุณไม่มีความจำเป็นเลยสักนิด
ที่ต้องเอากุญแจแห่งความสุขของคุณไปมอบไว้ ให้กับใครเลย ..
ไม่ต้องรอคอยใคร มาไขกุญแจให้คุณ
..
เพียงแค่ทำความเข้าใจ..ตระหนักรู้ได้ว่า ..
ความสุขมันก็อยู่กับตัวคุณตั้งแต่แรกแล้ว
..
ไขประตูความสุขเข้าไป
ด้วยการใช้กุญแจใจ เปิดใจ Open Mind
มองโลกในมุมมองที่หลากหลาย
เช่น
เมื่อรู้จักมองเห็นมุมทุกข์ ก็ต้องรู้จักมองเห็นมุมสุข
เมื่อเห็นมุมที่ไม่ดี ก็ต้องเห็นมุมที่ดีด้วย
..
คนที่กำลังเป็นสุข เค้าก็กำลังเป็นทุกข์ อยู่ด้วย
คนที่มีดี เค้าก็มีไม่ดี อยู่ด้วย มันเป็นแพ็คเกจของชีวิต ..
ถ้าคุณอยากได้น้ำฝน ก็ต้องทนเสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่าให้ได้ด้วย เป็นธรรมชาติ
มันเป็นของคู่กันอย่างนั้น ติดกันมา แยกกันไม่ออก
..
ดังนั้น .. หยุดกล่าวโทษใคร ถ้าความคิดในใจคุณยังไม่ดีพอ
เพราะ คุณเป็นคนเดียวเท่านั้น ที่มีสิทธิ์ มีอำนาจโดยชอบธรรม
ในการเปิดโลกแห่งความสุขของคุณ
ด้วยตัวคุณ.. ก็เท่านั้น..นั่นเอง

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ความกลัว มันไม่เคยมีตัวตน ความกลัว มันไม่ได้มีอยู่จริง

..
ความกลัว มันไม่เคยมีตัวตน
ความกลัว มันไม่ได้มีอยู่จริง
..
ความกลัว เป็นภาพที่คุณสร้างขึ้นมา คิดขึ้นมาเอง
..
สังเกตได้จากตอนที่คุณนอนหลับสนิท
ถ้ามีคนเอาสัตว์ที่คุณเกลียด คุณกลัว
เช่น ตัวหนอน  แมลงสาป ตุ๊กแก มาวางไว้บนหน้าอก
คุณก็จะไม่รู้สึกอะไร
แต่เมื่อไหร่ ที่คุณตื่นขึ้นมา.. แล้วทันทีที่เห็นมัน .. คุณจึงจะ.."กลัว"
..
นั่นก็เพราะ “ความกลัว” มันอยู่ด้วยตัวเองเพียงลำพังไม่ได้
(เปรียบเหมือนตัว "ปรสิต" คือ
เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องอาศัยสิ่งมีชีวิตอื่นจึงจะดำรงอยู่ได้
เช่น เห็บหมัดสุนัข ,ไวรัส ,แบคทีเรีย เป็นต้น)
..
ฉะนั้น
ถ้าคุณ ไม่ได้คิดอะไร .. คุณก็จะไม่ต้องกลัวอะไร
เพราะความกลัว มันต้องอาศัย “ความคิด”
..
ความทุกข์ ก็เช่นกัน ..
มันไม่สามารถดำรงอยู่ได้ .. หากคุณไม่ “คิดถึง” มัน
..
ในตอนที่คุณ "นอนหลับสนิท"
หนี้สิน ปัญหา ภาระ ต่างๆ ของคุณก็ยังคงอยู่
แต่ในจังหวะนั้น คุณก็ไม่ได้ทุกข์ ไม่มีแม้กระทั่งความเจ็บปวดใดใด ..
..
เพราะความทุกข์นั้น ไม่ได้มีตัวตนที่แท้จริง
ความเจ็บปวดของคุณจึงเป็นสิ่งที่ไม่จริงแท้
..
คุณจึงทุกข์ เพราะคุณ “คิด” เพราะคุณใส่ใจ สนใจมัน มากเกินไป
..
“หยุด” ให้ความสำคัญ .. กับความกลัว เพราะมันไม่มีตัวตน
“หยุด” ให้ความสำคัญ .. กับความทุกข์ เพราะจะทำให้มันเติบโตขึ้น
“หยุด”  ให้ความสำคัญ .. กับสิ่งที่ไม่สำคัญ  หรือ คนที่ไม่สำคัญ
..
..
หรือหากว่า “ความกลัว” จะมีจริง
มันก็ตัวเล็ก นิดเดียว เท่ากับ หัวแม่มือ
..
วิธีจัดการกับ "ความกลัว" นั้น มันง่ายแสนง่าย
ด้วยวิธีการที่ทรงประสิทธิภาพ มากที่สุด
นั่นก็คือ .. “เผชิญหน้ากับมัน”
แล้วสิ่งที่มันจะทำกับคุณก็คือ .. “หายตัวไป”
..
เพราะความกลัว จะเกิด เป็นพลังงานขึ้นมา
ก็ต่อเมื่อ คุณให้ความสำคัญกับมัน
แต่เมื่อยืนประจัญหน้ากัน .. มันก็จะแว๊บหายไป
ทุกอย่างจะเติบโตขึ้นได้ ใหญ่กว่าความเป็นจริงล้านเท่า
ก็ต่อเมื่อ "ใจ" ของเรา  เฝ้าแต่ "คิดถึงมัน" .. ก็เท่านั้น .. นั่นเอง

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2558

คนที่รักตัวเองได้.."ไม่ดี"พอ เค้าคือคนที่ "ขาดความมั่นใจ" ในตัวเอง

..
มนุษย์ไม่สามารถทำการ “อาบน้ำ” ครั้งใหญ่เพียงครั้งเดียว
แล้วไม่ต้องชำระล้างร่างกายอีกเลย ฉันใด
จิตใจก็ไม่สามารถ “ชำระล้าง” ครั้งใหญ่เพียงครั้งเดียว
แล้วสามารถมีแรงบันดาลใจ มีความสุขได้ ตลอดไป ฉันนั้น
..
สิ่งสกปรกเข้ามาในร่างกาย และ จิตใจ ของคนเรามากมายในแต่ละวัน
จึงต้องหมั่นจัดการ ฝึกฝน ค้นหาความดี
มีมุมมองที่เห็น "ข้อดี" ให้ได้ในทุกเหตุการณ์
เพื่อชำระล้างทั้งร่างกาย และ จิตใจ ให้สะอาดสะอ้าน อยู่เป็นประจำ
..
เพราะคนที่รักตัวเองได้.."ไม่ดี"พอ
เค้าคือคนที่ "ขาดความมั่นใจ" ในตัวเอง
..
กำลังใจ ก็เหมือน กำลังกาย
ถ้าร่างกาย ต้อง อาบน้ำทุกวัน
จิตใจ ก็ต้องการ ชำระล้างทุกวันเช่นกัน
ไม่ให้ร่างกายเน่าเหม็น และ ไม่ให้จิตใจเน่าเหม็น
..
หากร่างกาย ต้องการ กินอาหาร
จิตใจ ก็ต้องการ อาหาร ทางใจ ด้วยเช่นกัน
เพราะถ้าร่างกาย และ จิตใจ แข็งแรง
ชีวิตก็จะเกิดความสมดุลย์ ทำงานอย่างเป็นระบบอย่างเยี่ยมยอด
..
มนุษย์ ก็เหมือนกับ Computer
จิตใจ เปรียบเหมือน Software
สมอง เปรียบเหมือน Hardware
..
คุณจึงต้องหมั่น Upgrade ซอฟแวร์ และ ฮาร์ดแวร์ อยู่อย่างสม่ำเสมอ

ถ้าซอร์ฟแวร์ดี แต่มี CPU ความเร็วต่ำ
ก็ทำให้ระบบการทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ

ถ้าฮาร์ดแวร์ดี  มี CPU ความเร็วสูง
แต่ไม่มีโปรแกรมดีดีอยู่ในเครื่อง
คอมพิวเตอร์ก็ไม่ต่างจากเศษเหล็กธรรมดา
..
สมอง กับ จิตใจ จึงต้องไปด้วยกัน
..
Head กับ Heart
หากสมองดี จิตใจจะดี
หากจิตใจดี สมองก็จะดี
เป็นความสัมพันอันดีต่อกัน
..
เมื่อมนุษย์ดูแลตัวเองดี .. มันมีความหมายว่า
เค้าคนนั้นมีความรัก มีความเคารพ เห็นคุณค่าในตนเอง ได้เป็นอย่างดี
เมื่อเค้าดูแลตัวเองดี เค้าก็จะดูแลคนอื่นได้ดี ด้วยเช่นกัน.. นั่นเอง