Welcome

Welcome

Profile

Profile

แนะนำ หลักสูตร การพัฒนาตนเองและทำงานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2558

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2558

นักต้มตุ๋น..ที่เก่งที่สุดในโลก


ตั้งคำถามที่ดี .. ให้กับชีวิต


มองเห็น "ข้อดี" ให้ได้ .. ในทุกเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นกับชีวิต .. ด้วยปัญญาของคุณ

..
ตรวจคำตอบในชีวิต ด้วยความคิด
..
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดทุกข์ นั่นเท่ากับว่าคุณคิดผิด
..
ถ้าเราจะรู้สึกดีกับอะไร กับใคร ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลใดมารองรับ
..
เรารู้สึกดีกับคนนั้น สิ่งนั้นได้เลยทันที
อย่าเอาระดับพลังแค่ความคิด หรือเอาเหตุผล มาตัดสินความสำเร็จ
..
เพราะแค่เพียงจิต คุณบอกเซลล์สื่อประสาทยังไง
คุณก็จะได้อย่างนั้น
..
ง่ายๆเท่านั้นเอง
ไม่อย่างนั้นคุณจะถูกความคิดที่มีเหตุมีผลมากมาย
ฉุดรั้งคุณเอาไว้จากความสำเร็จในชีวิตที่คุณต้องการ นั่นเอง
..
คุณเพียงแต่ ทำไปเรื่อยๆ ด้วยใจที่เบิกบาน มีความสุข
แล้วความสำเร็จทุกประการที่คุณปรารถนาจะถาโถมเข้ามาหาคุณเอง

เทคนิคการพูดดี


วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เงื่อนไขในความสำเร็จของมนุษย์ไม่เคยมีมาก่อนเลย


ขันธ์ 5 หลักการสร้างความสำเร็จในชีวิต


กฎไตรลักษณ์ ก็เหมือน กฎหมาย .. เพราะไม่ว่าคุณจะรู้หรือไม่ .. คุณก็ไม่อาจหนีพ้นอยู่ดี

..
อนัตตา เป็น สิ่งที่มีตัวตนอยู่ แต่ไม่ได้เป็นของจริงแท้
..
อนัตตา คือ ความไม่มีใครเป็นเจ้าของของตัวมันเอง
..
เราเอง ก็ไม่ใช่เจ้าของตัวเราเอง
..
..
อนัตตา ก็ คล้ายกับ "ตัวปรสิต" คือ
มันไม่ได้เป็นเจ้าของในตัวมันเอง
ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง
..
ต้องอาศัยสิ่งอื่น จึง จะดำรงอยู่ได้
เมื่อคุณไม่ผูกติด หาของภายนอกมากระทบจิต
คุณจะรู้สึกสบาย
..
มีมาก มีน้อย ไม่ได้ทำให้ ทุกข์มาก ทุกข์น้อย
แต่
การทุกข์มาก ทุกข์น้อย
อยู่ที่การเอาจิตไปผูก กับสิ่งอื่นๆ
มาก  หรือ น้อย ต่างหาก
..
หากใจไม่ยึดติดสิ่งของ
ไม่ยึดติด ความคิด รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
..
ไม่เอาจิตไปผูกพัน
..
จิตใจจะรู้จักแบ่งปัน
สงบสุข เบิกบาน
เบา เบา สบาย ไปตลอดเวลา
ที่จับความรู้สึกของจิตได้
..
ด้วยความเข้าใจความคิดของคุณเอง
อย่าให้สมองหลอกลวงตัวเองได้อีกต่อไป
ไม่มีใครเป็นเจ้าของใคร
..
..
มันว่างเปล่า  สงบ เหมือน อากาศ ที่อยู่ได้ทุกที่
..
เฉยๆ แม้อยู่ท่ามกลางเปลวไฟ
เฉยๆ แม้อยู่ท่ามกลางหิมะ
เป็นเหมือนสูญญากาศทีอยู่ได้ทุกที่ในเอกภพ จักรวาล
..
โดยอยู่ในสภาวะเฉย
เบา เบา สบาย ได้ทุกที่
..
ร้อน ก็ รู้ว่าร้อน แต่ไม่เป็นทุกข์กับความร้อน
หนาว ก็รู้ว่า รู้สึกหนาว แต่ไม่เป็นทุกข์กับความหนาว
..
แม้อายตนะทั้ง 5 จะทำให้วิญญาณรู้สึกอย่างไร ก็ตาม
..
จิตที่เข้าใจ ความเป็นอนัตตา
ความไม่ผูกติดกัน
ความไม่มีใครเป็นเจ้าของกันและกัน
..
ทุกสิ่ง ทุกคน ต่างทำหน้าที่ของตนเองไปอย่างนั้น ก็เท่านั้น นั่นเอง

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2558

พรหมวิหาร 4 ธรรมต้นแบบ ในการต่อยอดไปสู่การเป็น “ผู้นำ” ที่ดี

..
พรหมวิหาร 4 ..หมายถึง.. ที่อยู่แห่งความประเสริฐ 4 ประการ
..
เป็นธรรมที่ช่วยให้ การดำรงอยู่ร่วมกันในสังคม เป็นไปอย่างมีความสุข
ทั้งการอยู่กับครอบครัว กับญาติพี่น้อง กับเพื่อนฝูง กับเจ้านาย กับลูกน้อง
..
จึงถือเป็นธรรมต้นแบบ ในการต่อยอดไปสู่การเป็น “ผู้นำ” ที่ดี
อันประกอบด้วย
..
"เมตตา" หมายถึง เกิดความรู้สึกในใจ อยากเห็นผู้คนมีความสุข
เป็นความรู้สึกของผู้นำที่ต้องการเห็นผู้ตามเจริญรุ่งเรืองในชีวิต
จึงทำให้เกิดเป็นความเห็นอกเห็นใจ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
เกิดปิติสุขขึ้นในใจเป็นอันดับแรก
ครั้นพอเมื่อรู้สึกแล้ว .. ก็เกิด “ความกรุณา”.. ตามมา
..
"กรุณา" หมายถึง อยากให้ผู้คนพ้นทุกข์
เป็นแนวทางของผู้นำ ที่อยากให้ความช่วยเหลือ ให้ข้อเสนอแนะ
ผลักดัน ส่งเสริม สนับสนุน ให้ผู้ตามได้รับความสุขความเจริญ
ทั้งในด้านหน้าที่การงาน และด้านการใช้ชีวิตครอบครัว
เมื่อเกิดการแบ่งปันความรู้ แบ่งปันความสามารถ
จึงทำให้ระบบการทำงานเป็นไปได้ดีอย่างมีประสิทธิภาพ
ส่งผลต่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เป็นลำดับต่อไป
..
"มุทิตา" หมายถึง ยินดีเมื่อเห็นผู้คนมีความสุข
เป็นแนวทางของผู้นำ ที่รู้สึกยินดี มีความสุขไปกับทุกคนด้วย
เมื่อได้เห็นความเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงาน
ผู้ตาม หรือ เพื่อนร่วมงาน มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
รู้สึกปลาบปลื้มปิติ อันเกิดจากความรักอย่างจริงใจให้กันและกัน
เข้าใจได้ว่า .. การแข่งขันกับใจตัวเองเท่านั้น
ที่สำคัญยิ่งไปกว่าการแข่งขันกับคนอื่น
..
"อุเบกขา" หมายถึง ปล่อยวางใจให้สงบ เข้าใจธรรมชาติในการทำงาน
เป็นภาวะผู้นำ สำหรับการวางตัวเป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
พร้อมช่วยเหลือทุกคน ตามกำลังที่พอจะช่วยเหลือได้
โดยไม่เดือดร้อนต่อตัวเองและผู้อื่น
ไม่ช่วยเหลือมากเกินไป..จนผู้ตามทำงานไม่เป็น
ไม่ช่วยเหลือน้อยเกินไป..จนผู้ตามทำงานไม่ได้
..
..
ฉะนั้น .. แนวทางการใช้ พรหมวิหาร 4 ในการบริหารนั้น
จึงเป็นแนวทางของจิตใจที่งดงามเป็นหลักเบื้องต้น
เมื่อผู้นำมีจิตใจที่ดี มีทัศนคติที่ดี มีความรู้สึกที่ดี
ก็จะทำให้เกิดความคิดที่ดี .. ส่งต่อไปเป็นการกระทำที่ดี
การกระทำที่ดี ก็ย่อมส่งผลลัพธ์ให้เกิดเป็นความเจริญก้าวหน้าที่ดี ต่อเนื่องตามกันไป
..
จึงเปรียบเสมือนเอาตัวเองไปอยู่บนวิหาร สวรรค์ชั้นพรหม โดยที่ยังมีลมหายใจอยู่ .. นั่นเอง

ลักษณะของภาวะผู้นำที่ดี

..
ลักษณะของภาวะผู้นำที่ดี
..
ขั้นที่ 1 คือ .. ผู้นำโดยตำแหน่ง ..
ซึ่งทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดกันว่า ..
การมีตำแหน่ง หมายถึง การมีภาวะผู้นำ
แต่ความจริงนั้น ตำแหน่งคือภาวะผู้นำขั้นต่ำสุด
ที่คนทำตามเพราะเกรงว่าสายงานบังคับบัญชาจะมีปัญหา
..
ขั้นที่ 2 คือ .. ผู้นำที่สร้างความสัมพันธ์
เป็นลักษณะของผู้นำที่ดูแลผู้ตามได้เป็นอย่างดี
คอยให้การสนับสนุน ช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ
หาข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาร่วมกันอยู่เสมอ
ทำให้ผู้ตามรู้สึกอบอุ่นใจ
..
ขั้นที่ 3 คือ .. ผู้นำที่สร้างผลงาน
เป็นลักษณะของผู้นำที่มีผลงานชัดเจน
ส่งผลลัพธ์ที่ดีต่อองค์กร
ทำให้ผู้ตามสามารถปฏิบัติตามได้โดยง่าย
และอยากเจริญรอยตาม
เพราะรู้ว่า ถ้าตามมาแล้วจะสามารถทำผลงานได้ดีเช่นกัน
..
ขั้นที่ 4 คือ .. ผู้นำที่สร้างผู้นำ
เปรียบเสมือน ศาสตราจารย์ที่สามารถสร้างศาสตราจารย์ขึ้นมาได้
ผู้นำที่สร้างผู้นำขึ้นมาได้นั้น
มักจะเป็นที่ต้องการของหลายๆองค์กร
เพราะสามารถผลิตคนเก่ง พัฒนาคนให้มีความชำนาญ
ทำให้ผู้ตามสามารถพัฒนาเป็นหัวหน้างาน
พัฒนาไปเป็นผู้จัดการ เป็นผู้บริหารได้ในที่สุด
ซึ่ง ผู้นำในลักษณะนี้ จะก้าวไปอีกขั้นในฐานะ.. ที่ปรึกษาทางด้านธุรกิจ
ทำให้เจ้าของกิจการหวงแหน และให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
..
ขั้นที่ 5 คือ .. ผู้นำที่สร้างความศรัทธา
เป็นลักษณะของผู้นำที่มีแบบอย่างของผู้ให้ที่ดี
ทั้งในชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว
ทำให้ผู้ตามเกิดความสุขที่ได้ทำงานร่วมกับคนดีๆ
และพร้อมทุ่มเททำงานให้ด้วยความสมัครใจ
..
..
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 5 ลักษณะของภาวะผู้นำนี้
สามารถรวมอยู่ได้ในตัวคนๆเดียว
ด้วยการใช้ "ความรู้สึกที่ดี&ทัศนคติที่ดี" เป็นหลักสำคัญ
..
เริ่มต้นจาก .. การรู้สึกดีกับตัวเอง
ซึ่งถือว่าเป็นการ "นำตนเอง" ให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก
..
จากนั้น จึง "นำผู้อื่น" ด้วยการมองเห็นคุณค่าในตัวเอง
เพื่อจะได้รู้จักการมองเห็นคุณค่าของผู้อื่นไปพร้อมกัน
..
แล้วรู้จัก "มอบอำนาจบางส่วน" ให้กับผู้ตามได้เรียนรู้
เปิดโอกาสให้ผู้ตามได้ลองทำ ได้ผิดพลาดเล็กๆน้อยๆบ้าง
อันจะก่อให้เกิดความเข้าใจงาน และมีการพัฒนาอย่างดียิ่ง
..
สุดท้ายให้ .. "นำองค์กร" ด้วยการวางเป้าหมายร่วมกัน
ให้ทีมงานได้มองเห็นของความเจริญก้าวหน้าในชีวิต
ทั้งของตนเองและขององค์กรอย่างชัดเจน
รู้ว่าเมื่อองค์กรเติบโตก้าวหน้า
ทีมงานทั้งหมดก็จะก้าวไกลไปด้วยเช่นกัน
..
ด้วยความเข้าใจนี้ .. จะส่งผลให้บุคคล
ได้ทำหน้าที่ในการเป็นผู้นำได้อย่างยอดเยี่ยมและยั่งยืน
เป็นความสุข ความสำเร็จที่งดงาม โดยถ้วนหน้ากัน .. นั่นเอง

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2558

พระพุทธศาสนา และ จิตวิทยา มุ่งมั่นศึกษาค้นคว้าที่มาของพฤติกรรมมนุษย์

..
พระพุทธศาสนา และ จิตวิทยา
มุ่งมั่นศึกษาค้นคว้าที่มาของพฤติกรรมมนุษย์
..
เพื่อให้รู้และเข้าใจอุปนิสัยและการกระทำของผู้คนบนโลก ..ว่า
ทำไมคนจึงรู้สึกอย่างนี้ ทำไมจึงถ่ายทอดอารมณ์ออกมาอย่างนี้
ทำไมจึงประสบความสำเร็จอย่างนี้ ทำไม่จึงประสบความล้มเหลวอย่างนี้
..
เมื่อเข้าใจ และ ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงแล้ว
ก็จะสามารถจัดการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมต่างๆ
ของมนุษย์ได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์
..
เพียงแต่กระบวนการศึกษาของทางพุทธศาสนา
เป็นไปในแบบ Inside-out
คือ การมองจากภายในจิตใจ สู่การกระทำภายนอก
..
ในขณะที่กระบวนการศึกษาทางจิตวิทยา
เป็นไปในแบบ  Outside-in
คือ การมองจากพฤติกรรมภายนอก เข้าไปสู่ภายในจิตใจ
ทำวิจัยซ้ำไป ซ้ำมา หลายครั้ง
..
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองกระบวนการ
เมื่อได้ทำการศึกษาค้นคว้าแล้ว ก็ได้ข้อสรุปได้อย่างยอดเยี่ยม
กระทั่งสามารถนำมาสู่ ..การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมนุษย์ได้
ในรูปแบบที่เป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
มีเหตุ มีผล เมื่อทดลองทำซ้ำ แล้วก็จะได้ผลลัพธ์ เหมือนเดิมทุกครั้ง
..
คุณจึงสามารถ มีชีวิตที่มีความเจริญก้าวหน้า และมีความสุขได้ทันที
ด้วยคำตอบสุดท้ายที่ว่า ..
ทันทีที่มนุษย์คิดอะไร ไม่ว่าจะดีหรือร้าย มนุษย์จะได้ผลลัพธ์นั้นทันที
ในขณะที่.. ไม่ว่ามนุษย์ทำอะไร จะดีหรือร้ายก็ตาม
มนุษย์ก็จะได้ผลลัพธ์นั้นทันที ด้วยเช่นเดียวกัน
..
ดังนั้น .. คุณจึงสามารถพัฒนาจัดการชีวิตให้เจริญก้าวไกลได้ทันที
ด้วยวิธีการเริ่มต้น "คิดดี" .. "ทำดี"
และสุดท้าย คุณก็จะได้ "ผลลัพธ์ที่ดี" .. ก็เท่านั้น ..นั่นเอง

คุณเคยตั้งคำถาม..หรือสงสัยบ้างหรือเปล่าว่า.. คนเรา..เกิดมาทำไม..??

..
คุณเคยตั้งคำถาม..หรือสงสัยบ้างหรือเปล่าว่า..
คนเรา..เกิดมาทำไม..??
..
มีผู้รู้ตอบคำถามนี้ ได้อย่างน่าสนใจว่า..
..
ที่คนเราเกิดมานั้น..ก็เพื่อ.."ชดใช้กรรม"
..
จึงทำให้มีการตั้งคำถามต่อไปอีกว่า..
แล้วทำไมในชาติแรกก่อนที่มนุษย์จะเกิดมา..จะมีกรรมมาจากที่ไหน..??
..
คำถามนี้น่าสนใจ..ใช่มั๊ยครับ..!!
ซึ่งมีคำตอบมากมายที่พยายามจะอธิบายเรื่องนี้
..
อย่างไรก็ตาม .. มีหนึ่งคำตอบที่ดูเหมือนจะใกล้เคียงความจริงมากที่สุด
เป็นคำตอบที่ดูเหมือนว่า..มีความน่าจะเป็นได้มากที่สุด
..
คำตอบนั้น..ก็คือ..
..
ก่อนที่มนุษย์จะเกิดมา..เพื่อชดใช้กรรมนั้น..
ในจิตเดิมแท้ของมนุษย์..บริสุทธิ์ว่างเปล่า..
..
แต่ที่มนุษย์เกิดมา..แล้วสร้างเวรกรรมนั้น..ก็เพราะ..
..
"ความไม่รู้"..
..
"ความไม่รู้" หรือพระท่านเรียกว่า "อวิชชา"
ทำให้คนเราต้องเกิดมา..ด้วยจิตที่เข้าใจผิด คิดว่า..การเกิดมาเป็นความสุข
จิตที่ถูกนำมาผสมผสานกับธาตุ 4 (ดิน น้ำ ลม ไฟ) กลายเป็นสิ่งมีชีวิตขึ้นมา
สิ่งมีชีวิตที่เกิดมาเหล่านี้ .. ไม่เคยมีความรู้มาก่อนว่า .. การเกิดเป็นทุกข์
แต่เมื่อเกิดมาแล้ว ก็ต้องเจ็บ ต้องป่วย ต้องแก่ ต้องตายไปในที่สุด
..
คนเราไม่เคยรู้เลยว่า ..
ที่เราต้องเกลียดกัน โกรธกัน ทำร้ายกัน ต่างเป็นไปเพราะ "ความไม่รู้" ..
แท้จริงแล้ว ..
คนเราไม่จำเป็นต้องเกลียด ต้องโกรธ ต้องทำร้ายกันเลยสักนิด
แต่ที่คนเราทำไปอย่างนั้น ก็เพราะเข้าใจผิด คิดว่า
ความโกรธ ความเกลียด เป็นสิ่งที่ควรกระทำ
แล้วก็สร้างเวร สร้างกรรม กันแบบที่ไม่รู้ว่านั่นเป็น "ความทุกข์"
ต่อกันไปเรื่อยๆ วนเวียนไม่จบไม่สิ้น
..
แม้แต่ กรรมที่เกิดจากความรักกัน ห่วงใยกัน หวังดีต่อกัน ..
ก็เป็นกรรมด้วยเช่นเดียวกัน
เมื่อคุณทำกรรมดี ก็จะได้รับผลกรรมดีในที่สุด
เมื่อคุณทำกรรมไม่ดี ก็จะได้รับผลของกรรมไม่ดีในที่สุด
..
เหตุการณ์ต่างๆ ทั้งร้ายและดี ที่คุณได้พบเจอ
ต่างเป็นเหตุเป็นผลของกรรมที่คุณสร้างมา
..
คุณเพียงแค่ยอมรับผลของกรรมนั้น .. แล้วปล่อยวาง
ไม่ก่อร่างสร้างกรรมใหม่ขึ้นมาอีก
..
หยุดทุกความเกลียด ความโกรธ ที่ไม่จำเป็นอีกแล้ว
เพราะคุณเห็นตัว"อวิชชา"แล้ว
..
ถึงเวลาที่คุณได้รู้แจ้งแล้ว ตื่นแล้ว .. และ"หยุด" ได้แล้ว
..
เมื่อคุณทำกิจการงานต่างๆ ด้วยจิตว่าง ..
ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่ยึดติดกับอารมณ์ที่มากระทบ
ให้ใจสบายๆ และใช้สมาธิ อยู่กับงานที่ทำอยู่ ณ ตอนนี้ ..
งานนั้นก็จะสำเร็จไปทีละขั้น ตามลำดับ
และเป็นไปตามที่คุณตั้งเป้าหมายเอาไว้อย่างเป็นสุข .. ตามเหตุตามผลของกรรมเท่านั้น.. นั่นเอง

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2558

การให้อภัย คือการช่วยเหลือใจและร่างกายของตัวเอง

..
การให้อภัย คือการช่วยเหลือใจและร่างกายของตัวเอง
..
ทุกครั้งที่คุณคิดถึง..
คนที่ทำให้คุณเสียใจ โกรธ เกลียด ไม่ชอบ ไม่พอใจ
นั่นคือ..การทำร้ายตัวเองอย่างโหดร้ายทารุณที่สุด
เพราะเมื่อภาพของเขาเหล่านั้นผุดขึ้นมาในความคิด
จะส่งผลให้ชีวิตคุณ..เครียด กังวล เป็นทุกข์
ซึ่งสมองก็จะหลั่งสาร Cortisol ออกมา
ทำให้ระบบต่างๆในร่างกายทำงานผิดปกติไปหมด
จนส่งผลให้เกิดโรคร้ายต่างๆ ตามมามากมาย
โดยที่ไม่สามารถใช้"ยา"ตัวไหนในโลกรักษาให้หายขาดได้
..
ดังนั้นเมื่อไหร่ที่คุณได้“ให้อภัย”แก่ใครสักคนที่คุณไม่พอใจ
จึง"ไม่ได้"เป็นการไปช่วยเหลือเค้าคนนั้นได้รู้สึกดีขึ้นมา
แต่มันหมายถึง..
คุณได้ช่วยเหลือตัวเราเอาไว้..
ให้มีจิตใจที่ผ่อนคลาย เบาสบาย ไปพร้อมกับร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์
..
เพราะการเกลียดใครสักคน
เขาอาจไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกโกรธ เกลียดนั้น จากคุณได้
โดยเฉพาะ ถ้าหาก เค้าไม่ได้สนใจ หรือ ใส่ใจที่จะคิดไปกับคุณด้วย
ซึ่งอาจสูญเสียเวลาเปล่า..ในการคิดทำร้ายตัวเองอยู่เพียงฝ่ายเดียว..
..
ดั่งคำที่ว่า.."ไม้ขีดไฟนั้น..ก่อนที่มันจะเผาอะไร มันจะเผาตัวเองก่อนเสมอ"
..
ชีวิตที่เป็นสุข..จึงอยู่ที่ใครเห็นทุกข์ ..แล้วหยุดได้ก่อนกัน..ก็เพียงเท่านั้น .. นั่นเอง

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เส้นทางแห่งความเจริญและความสำเร็จใดใดในโลก พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้เป็นหลักธรรมใน “อิทธิบาท 4”

..
เส้นทางแห่งความเจริญและความสำเร็จใดใดในโลก
พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้เป็นหลักธรรมใน “อิทธิบาท 4”
แปลว่า “ทางดำเนินไปสู่ความสำเร็จ”
..
อันถือเป็นต้นแบบที่ช่วยให้บุคคลที่ต้องการจะประสบความสำเร็จ
ใช้เป็นเครื่องค้นหา..“งาน”..ที่้เหมาะสม
เป็นงานเฉพาะทาง เฉพาะตัว เฉพาะตน
เป็นปัจจัตตัง คือ ต้องค้นพบงานนั้นให้ได้ด้วยตัวเอง
..
ประกอบด้วย
-ฉันทะ (LOVE & LIKE) :
คือ งานที่คุณรู้สึกรัก คุณรู้สึกชอบ คุณรู้สึกสนุก รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำ
-วิริยะ (DOING & SKILL)
คือ เมื่อคุณทำงานนั้น ซ้ำๆ ย้ำบ่อยๆ ไปเรื่อยๆ
ธรรมชาติจะสร้างให้คุณมีทักษะ ในงานนั้นๆ
ก่อให้เกิดความชำนาญ สามารถทำงานนั้นได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น
แถมผลลัพธ์ของงานนั้น ก็ยังดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นลำดับอีกด้วย
-จิตตะ (PASSION & SELF ESTEEM)
คือ เมื่อคุณมีความหลงใหลในงานที่ทำ บางครั้งถึงกับเก็บเอาไปนอนฝัน
เป็นปลื้ม ภูมิอก ภูมิใจ  ในงานที่ทำ และเห็นคุณค่าตนเองเพิ่มมากขึ้น
มองเห็นประโยชน์ของงานนั้นๆที่จะช่วยเหลือผู้คนในสังคมได้เป็นอย่างดี
-วิมังสา (KNOWLEDGE & DEVELOP)
คือ การศึกษาหาความรู้ ในการทำกิจการนั้นให้สำเร็จ
จากการฟังบ้าง ถามบ้าง อ่านบ้าง
พูดคุยกับคนเก่งบ้าง หาข้อมูลจากอินเทอเน็ต ค้นคว้าด้วยตัวเองบ้าง
เพื่อหาแนวทางในการพัฒนางานนั้นๆ ให้ดียิ่งๆขึ้นไป
เช่น เมื่อมองเห็นสินค้าในท้องตลาด ที่มีอยู่แล้ว
ก็หาแนวทางพัฒนาให้สวยขึ้น ใช้ได้สะดวกขึ้น ง่ายขึ้นกว่าเดิม เป็นต้น
..
ดังนั้น หากใช้หลักธรรม ข้อนี้ ในการค้นหา .. “งาน”..ที่ใช่สำหรับคุณ
คุณก็จะได้พบหนทางเดินที่เป็นตัวของตัวเอง
อันจะเป็นแสงสว่างส่องนำทาง
ให้คุณเดินไปสู่ความเจริญก้าวหน้าในชีวิตอย่างแน่นอน.. นั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงตะวัน ก็เบ่งบานขึ้นมาทันที

..
พระพุทธองค์ทรงแบ่งบุคคลเป็น 4 จำพวก
อุปมาเปรียบได้ดั่ง บัว 4 เหล่า
อันเป็นต้นแบบของ"ทฤษฎีการเรียนรู้ของมนุษย์"ในยุคปัจจุบัน
..
ดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ  เมื่อต้องแสงตะวัน ก็เบ่งบานขึ้นมาทันที
เรียกบุคคลประเภทนี้ว่า .. "รู้ ..ว่า .. ตัวเองรู้"
เป็นผู้ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด
รู้ว่าตัวเองนั้น ค้นพบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างแน่นอน
เพราะเมื่อได้อ่าน ได้ฟังเรื่องราวใดๆก็สามารถรู้ และเข้าใจได้ในเวลาอันรวดเร็ว
..
ดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำ  ซึ่งจะผลิบานในวันถัดไป
เรียกว่าเป็นประเภท .. "รู้ ..ว่า .. ตัวเอง ไม่รู้"
เป็นบุคคลที่มีสติปัญญาดี  รู้ว่าตัวเองยังไม่มีความรู้มาก
จึงหมั่นฝึกฝนเพิ่มเติม อ่านมาก ฟังมาก ศึกษามาก
จึงสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเอง ให้เข้าใจชีวิตได้ในเวลาอันไม่ช้า
..
ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งค่อยๆ โผล่ขึ้น จะเบ่งบานได้ในวันใดวันหนึ่ง
เรียกว่าเป็นประเภท .. "ไม่รู้ ..ว่า .. ตัวเอง รู้"
เป็นบุคคลที่มีสติปัญญา มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ
อยู่ในช่วงค้นหาตนเองว่า มีพรสวรรค์ทางด้านใด
หากเมื่อรู้ตัวแล้ว ก็จะใช้พรแสวงต่อยอดเพื่อพัฒนาตัวเองต่อไป
ที่สุดแล้วก็จะสามารถรู้และเข้าใจหลักการดำเนินชีวิตได้ในวันข้างหน้า
..
ดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม  จะยังไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน
เรียกว่าเป็นประเภท .. "ไม่รู้ ..ว่า .. ตัวเอง ไม่รู้"
เป็นบุคคลที่มีสติปัญญาน้อย ยังผ่านการศึกษาจากผู้รู้ไม่มาก
และสำคัญตนเองไปว่า สิ่งที่ตนเองรู้นั้น มีมากมายเพียงพออยู่แล้ว
อันถือว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ
ซึ่งต้องอาศัยความทุกข์ เพื่อให้เห็นทุกข์ ด้วยตัวเอง
ครั้นเมื่อต้องการพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น จึงจะเปิดใจใฝ่เรียนรู้ในภายหลัง
..
นั่นเอง

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2558

"ความเจ็บ"..ไม่น่ากลัว .. เท่ากับ.. “การกลัวเจ็บ”

..
"ความเจ็บ"..ไม่น่ากลัว .. เท่ากับ.. “การกลัวเจ็บ”
..
ความเจ็บปวดทางร่างกาย หรือ ทางจิตใจนั้น ..ไม่ได้ “น่ากลัว” อะไร
ความคิดว่าจะ “เจ็บ”  .. นี่แหละที่ “น่ากลัว” ยิ่งกว่า
..
ในขณะที่ ตัว“ความกลัว”  ก็ไม่ได้ทำให้คุณ “เจ็บ”
แต่ความคิดถึง “ความกลัว” มันจึงจะทำให้คุณรู้สึก “เจ็บ” ..
..
“ความเจ็บ”  ทุกอย่างในโลกนี้ มันเป็นเพียง “เจ็บชั่วคราว”
แต่ความคิดถึง “การเจ็บ” จะทำให้คุณรู้สึก “เจ็บถาวร”
คุณจึง เจ็บซ้ำๆ ซากๆ .. เพราะ  ความเจ็บถูกคุณคิดถึง ถูกขยี้ ย้ำๆ อยู่เป็นประจำ
..
ที่คุณรู้สึกเจ็บปวดอยู่ทุกวัน .. จึงเป็นเพราะ..
คุณกำลัง “กลัว” ความเจ็บปวดอยู่ ณ ตอนนี้
..
ด้วยความเข้าใจ ธรรมชาติข้อนี้
คุณก็จะตื่นรู้ เห็นแจ้งในธรรม ได้ว่า ..
ทุกวินาที ของชีวิต .. คุณไม่มีความจำเป็นต้อง “เจ็บ” เลยสักนิด
..
ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน  หยุดหุนหันไปกับความกลัว..ในอนาคต
และหยุดวิตก กับความเจ็บ ที่มันเกิดแล้ว ดับไปแล้ว ..ในอดีต
ให้ชีวิตของคุณ ดำรงอยู่กับความสบายกาย สบายใจ ในแบบง่ายง่าย .. ก็เท่านั้น ..นั่นเอง

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ทำไมคนเรา .. ?? มีเวลา 24 ชั่วโมง .. เท่ากัน แต่ประสบความสำเร็จ.. ไม่เท่ากัน

..
ทำไมคนเรา .. ??
มีเวลา 24 ชั่วโมง .. เท่ากัน
แต่ประสบความสำเร็จ.. ไม่เท่ากัน
..
มีผู้รู้ให้คำตอบได้น่าสนใจว่า ..
ก็เป็นเพราะคนเรานั้นได้รับ .. “โอกาสทางความคิด”..ต่างกัน
..
ความจริงแล้ว..
เป้าหมายในชีวิตของมนุษย์ ถูกออกแบบมาให้ประสบความสำเร็จเท่ากัน
ขึ้นอยู่กับ การตีความ ในเรื่องราวที่แต่ละคนพบเจอ
การแปลความหมายในชีวิต มีผลลัพธ์ตรงตามที่คุณคิดเสมอ
คุณ .. จะเป็น .. อย่างที่คุณคิด ..
คุณ .. จะได้ .. ในสิ่งที่คุณต้องการ
..
เด็กที่เกิดในสลัม พ่อแม่แยกทางกัน มีอุปสรรค มีปัญหาเหมือนกัน
แต่จะประสบความสำเร็จในชีวิตต่างกัน ..
เพราะได้รับ.. "โอกาสทางความคิด" ต่างกัน
..
ถ้าเค้าได้รับโอกาสให้เค้า เข้าใจว่า..
โลกใบนี้ได้จัดสรรเรื่องราวที่สำคัญ
จักรวาลได้ออกแบบเพื่อผลักดัน ให้เค้าเป็นสิ่งที่สวยงาม
..
เมื่อเค้ายอมรับ และ ตอบรับการสื่อความหมายของโลก
ไปในทิศทางที่ดีงาม เบิกบาน สดชื่น มองเห็นคุณค่าของตัวเอง
เค้าก็จะตื่นรู้ได้ว่า.. ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิต
ธรรมชาติจะผลักดันเรา..ให้ไปสู่สิ่งที่ดีงามเสมอ
จักรวาล เอกภพ คือเพื่อนแท้ ที่คอยสนับสนุน ไม่ใช่ศัตรูที่คอยกลั่นแกล้ง
..
คุณจึงต้องเรียนรู้ ที่จะ "คิด" ให้เป็น
และเรียนรู้ ที่จะ "เชื่อ" ให้เป็น
ด้วยการ .. การคิดถึง นึกถึง จินตนาการถึง รู้สึกถึง
เรื่องราวที่ดี เรื่องราวที่มีคุณค่า เรื่องราวที่มีความสุข
ค่อยๆสร้างความรู้สึกเชื่อมั่น เชื่อถือ เชื่อใจ ในตัวเอง ไปเรื่อยๆ
..
เพื่อให้ชีวิตสนุกกับการเรียนรู้
และเปิด “โอกาสทางความคิด” ให้กับตัวเอง ในทุกๆวัน .. นั่นเอง

กุญแจ แห่งความสุข เป็นของคุณเอง

..
กุญแจ แห่งความสุข เป็นของคุณเอง
..
คนเราส่วนใหญ่
มักจะมอบกุญแจแห่งความสุขของตัวเอง..ไป "ฝาก"ไว้ในมือคนอื่น
..
เมื่อถึงเวลาที่คุณต้องการเปิดประตูความสุข
คุณก็จะไปตาม ถามหากุญแจดอกนั้นกับผู้คนทั่วไป
..
พอเค้าไม่เอากุญแจให้ ซึ่งหมายถึง
เค้าไม่ได้แสดงออกกับคุณอย่างที่คุณอยากให้เค้าเป็น
เค้าไม่เป็นอย่างที่คุณนึกภาพเอาไว้
คุณก็จะรู้สึกไม่พอใจ คุณก็จะหงุดหงิด โกรธ โมโห บ่น
..
สังเกตได้จาก ตอนที่ตัวคุณเอง
มักจะกล่าวโทษคนที่คุณรัก หรือ คนในสังคม
ว่าทำไมถึงทำอย่างนั้น ทำไมไม่ทำอย่างนี้
อย่างนี้ดีกว่า อย่างนั้นไม่ดีเลย ฯลฯ
..
ทำให้ชีวิตคุณผูกติด มีปมผูกมัด มีเงื่อนไข เยอะแยะไปหมด
กว่าจะได้รับความสุขกาย สบายใจ แต่ละครั้ง ก็ยากแสนยาก
..
แท้จริงแล้ว ..
คุณไม่มีความจำเป็นเลยสักนิด
ที่ต้องเอากุญแจแห่งความสุขของคุณไปมอบไว้ ให้กับใครเลย ..
ไม่ต้องรอคอยใคร มาไขกุญแจให้คุณ
..
เพียงแค่ทำความเข้าใจ..ตระหนักรู้ได้ว่า ..
ความสุขมันก็อยู่กับตัวคุณตั้งแต่แรกแล้ว
..
ไขประตูความสุขเข้าไป
ด้วยการใช้กุญแจใจ เปิดใจ Open Mind
มองโลกในมุมมองที่หลากหลาย
เช่น
เมื่อรู้จักมองเห็นมุมทุกข์ ก็ต้องรู้จักมองเห็นมุมสุข
เมื่อเห็นมุมที่ไม่ดี ก็ต้องเห็นมุมที่ดีด้วย
..
คนที่กำลังเป็นสุข เค้าก็กำลังเป็นทุกข์ อยู่ด้วย
คนที่มีดี เค้าก็มีไม่ดี อยู่ด้วย มันเป็นแพ็คเกจของชีวิต ..
ถ้าคุณอยากได้น้ำฝน ก็ต้องทนเสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่าให้ได้ด้วย เป็นธรรมชาติ
มันเป็นของคู่กันอย่างนั้น ติดกันมา แยกกันไม่ออก
..
ดังนั้น .. หยุดกล่าวโทษใคร ถ้าความคิดในใจคุณยังไม่ดีพอ
เพราะ คุณเป็นคนเดียวเท่านั้น ที่มีสิทธิ์ มีอำนาจโดยชอบธรรม
ในการเปิดโลกแห่งความสุขของคุณ
ด้วยตัวคุณ.. ก็เท่านั้น..นั่นเอง

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ความกลัว มันไม่เคยมีตัวตน ความกลัว มันไม่ได้มีอยู่จริง

..
ความกลัว มันไม่เคยมีตัวตน
ความกลัว มันไม่ได้มีอยู่จริง
..
ความกลัว เป็นภาพที่คุณสร้างขึ้นมา คิดขึ้นมาเอง
..
สังเกตได้จากตอนที่คุณนอนหลับสนิท
ถ้ามีคนเอาสัตว์ที่คุณเกลียด คุณกลัว
เช่น ตัวหนอน  แมลงสาป ตุ๊กแก มาวางไว้บนหน้าอก
คุณก็จะไม่รู้สึกอะไร
แต่เมื่อไหร่ ที่คุณตื่นขึ้นมา.. แล้วทันทีที่เห็นมัน .. คุณจึงจะ.."กลัว"
..
นั่นก็เพราะ “ความกลัว” มันอยู่ด้วยตัวเองเพียงลำพังไม่ได้
(เปรียบเหมือนตัว "ปรสิต" คือ
เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องอาศัยสิ่งมีชีวิตอื่นจึงจะดำรงอยู่ได้
เช่น เห็บหมัดสุนัข ,ไวรัส ,แบคทีเรีย เป็นต้น)
..
ฉะนั้น
ถ้าคุณ ไม่ได้คิดอะไร .. คุณก็จะไม่ต้องกลัวอะไร
เพราะความกลัว มันต้องอาศัย “ความคิด”
..
ความทุกข์ ก็เช่นกัน ..
มันไม่สามารถดำรงอยู่ได้ .. หากคุณไม่ “คิดถึง” มัน
..
ในตอนที่คุณ "นอนหลับสนิท"
หนี้สิน ปัญหา ภาระ ต่างๆ ของคุณก็ยังคงอยู่
แต่ในจังหวะนั้น คุณก็ไม่ได้ทุกข์ ไม่มีแม้กระทั่งความเจ็บปวดใดใด ..
..
เพราะความทุกข์นั้น ไม่ได้มีตัวตนที่แท้จริง
ความเจ็บปวดของคุณจึงเป็นสิ่งที่ไม่จริงแท้
..
คุณจึงทุกข์ เพราะคุณ “คิด” เพราะคุณใส่ใจ สนใจมัน มากเกินไป
..
“หยุด” ให้ความสำคัญ .. กับความกลัว เพราะมันไม่มีตัวตน
“หยุด” ให้ความสำคัญ .. กับความทุกข์ เพราะจะทำให้มันเติบโตขึ้น
“หยุด”  ให้ความสำคัญ .. กับสิ่งที่ไม่สำคัญ  หรือ คนที่ไม่สำคัญ
..
..
หรือหากว่า “ความกลัว” จะมีจริง
มันก็ตัวเล็ก นิดเดียว เท่ากับ หัวแม่มือ
..
วิธีจัดการกับ "ความกลัว" นั้น มันง่ายแสนง่าย
ด้วยวิธีการที่ทรงประสิทธิภาพ มากที่สุด
นั่นก็คือ .. “เผชิญหน้ากับมัน”
แล้วสิ่งที่มันจะทำกับคุณก็คือ .. “หายตัวไป”
..
เพราะความกลัว จะเกิด เป็นพลังงานขึ้นมา
ก็ต่อเมื่อ คุณให้ความสำคัญกับมัน
แต่เมื่อยืนประจัญหน้ากัน .. มันก็จะแว๊บหายไป
ทุกอย่างจะเติบโตขึ้นได้ ใหญ่กว่าความเป็นจริงล้านเท่า
ก็ต่อเมื่อ "ใจ" ของเรา  เฝ้าแต่ "คิดถึงมัน" .. ก็เท่านั้น .. นั่นเอง

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2558

คนที่รักตัวเองได้.."ไม่ดี"พอ เค้าคือคนที่ "ขาดความมั่นใจ" ในตัวเอง

..
มนุษย์ไม่สามารถทำการ “อาบน้ำ” ครั้งใหญ่เพียงครั้งเดียว
แล้วไม่ต้องชำระล้างร่างกายอีกเลย ฉันใด
จิตใจก็ไม่สามารถ “ชำระล้าง” ครั้งใหญ่เพียงครั้งเดียว
แล้วสามารถมีแรงบันดาลใจ มีความสุขได้ ตลอดไป ฉันนั้น
..
สิ่งสกปรกเข้ามาในร่างกาย และ จิตใจ ของคนเรามากมายในแต่ละวัน
จึงต้องหมั่นจัดการ ฝึกฝน ค้นหาความดี
มีมุมมองที่เห็น "ข้อดี" ให้ได้ในทุกเหตุการณ์
เพื่อชำระล้างทั้งร่างกาย และ จิตใจ ให้สะอาดสะอ้าน อยู่เป็นประจำ
..
เพราะคนที่รักตัวเองได้.."ไม่ดี"พอ
เค้าคือคนที่ "ขาดความมั่นใจ" ในตัวเอง
..
กำลังใจ ก็เหมือน กำลังกาย
ถ้าร่างกาย ต้อง อาบน้ำทุกวัน
จิตใจ ก็ต้องการ ชำระล้างทุกวันเช่นกัน
ไม่ให้ร่างกายเน่าเหม็น และ ไม่ให้จิตใจเน่าเหม็น
..
หากร่างกาย ต้องการ กินอาหาร
จิตใจ ก็ต้องการ อาหาร ทางใจ ด้วยเช่นกัน
เพราะถ้าร่างกาย และ จิตใจ แข็งแรง
ชีวิตก็จะเกิดความสมดุลย์ ทำงานอย่างเป็นระบบอย่างเยี่ยมยอด
..
มนุษย์ ก็เหมือนกับ Computer
จิตใจ เปรียบเหมือน Software
สมอง เปรียบเหมือน Hardware
..
คุณจึงต้องหมั่น Upgrade ซอฟแวร์ และ ฮาร์ดแวร์ อยู่อย่างสม่ำเสมอ

ถ้าซอร์ฟแวร์ดี แต่มี CPU ความเร็วต่ำ
ก็ทำให้ระบบการทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ

ถ้าฮาร์ดแวร์ดี  มี CPU ความเร็วสูง
แต่ไม่มีโปรแกรมดีดีอยู่ในเครื่อง
คอมพิวเตอร์ก็ไม่ต่างจากเศษเหล็กธรรมดา
..
สมอง กับ จิตใจ จึงต้องไปด้วยกัน
..
Head กับ Heart
หากสมองดี จิตใจจะดี
หากจิตใจดี สมองก็จะดี
เป็นความสัมพันอันดีต่อกัน
..
เมื่อมนุษย์ดูแลตัวเองดี .. มันมีความหมายว่า
เค้าคนนั้นมีความรัก มีความเคารพ เห็นคุณค่าในตนเอง ได้เป็นอย่างดี
เมื่อเค้าดูแลตัวเองดี เค้าก็จะดูแลคนอื่นได้ดี ด้วยเช่นกัน.. นั่นเอง

เป้าหมายที่ดี ควรมีรายละเอียด

..
เป้าหมายที่ดี ควรมีรายละเอียด
..
เป้าหมายที่มักจะทำให้มนุษย์ประสบความสำเร็จได้
ส่วนใหญ่ มีเทคนิค ง่ายๆ คือ
การกำหนดเป้าหมาย ให้เป็น รูปธรรม .. จับต้องได้ .. วัดผลได้
..
ยกตัวอย่าง เช่น
รถยนต์ที่ต้องการยี่ห้ออะไร สีอะไร รุ่นอะไร จะได้มาวันที่เท่าไหร่ ??
บ้านที่ต้องการมีกี่ห้องน้ำ กี่ห้องนอน พื้นที่เท่าไหร่ สีอะไร กี่ชั้น ??
เป็นต้น
..
เมื่อเป้าหมายยิ่งละเอียดเท่าไหร่
เป้าหมายก็จะยิ่งถูกโฟกัส เห็นภาพชัดเจน
นำไปสู่การกำหนดให้ระบบการทำงานของสมอง
ควานหาผลลัพธ์ให้ได้ตามต้องการ โดยไม่ผิดเพี้ยน
..
แต่หากเป้าหมายอยู่ในรูปของ "นามธรรม"
สมองจะทำงานลำบากมาก เพราะสมองจะเข้าใจยาก
เช่น .. ถ้าคุณบอกว่า ต้องการความสุข
คำว่า "ความสุข" เป็นนามธรรม
ซึ่งสมองจะไม่เข้าใจ ว่า .. แล้วอะไรล่ะคือความสุข
เพราะความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
บางคนมีความสุขกับการได้มีเสื้อผ้าสวยๆใส่
บางคนมีความสุขกับการปลูกต้นไม้
บางคนมีความสุขกับการได้ช่วยให้ผู้คนประสบความสำเร็จ
ฯลฯ
..
ฉะนั้น เป้าหมายที่ดี จึงต้องมีรายละเอียด เป็นรูปธรรม ..
เริ่มต้นจากที่เคยสร้างวิมานในอากาศ
ให้มาเป็นการสร้างวิมานในกระดาษ ..
แล้วเซลล์สื่อประสาทในตัวคุณ จะเริ่มก่อร่างสร้างเป้าหมายให้เป็นไปดั่งที่ใจต้องการ .. นั่นเอง

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2558

พรสวรรค์ กับ พรแสวง เป็นเพื่อนกัน

..
พรสวรรค์ กับ พรแสวง เป็นเพื่อนกัน
คนส่วนใหญ่มักตั้งคำถาม..ระหว่างเพื่อนรัก 2 คนนี้
เพื่อที่จะแบ่งแยก ให้เค้าแตกออกจากกัน
ทั้งๆที่ ทั้งคู่ก็ล้วนมีความดีงามด้วยกันทั้งนั้น
..
คนทั่วไปมักจะ..
พยายามแยก คนดี กับ คนไม่ดี ออกจากกัน
พยายามแยก สีขาว กับ สีดำ ออกจากกัน
พยายามแยก ความสุข กับ ความทุกข์ ออกจากกัน
ฯลฯ
..
ซึ่งนั่น เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนออกไป จากสัจธรรม
เพราะ ธรรมชาติ สร้างสรรทุกสิ่งมา
เพื่อเติมเต็มซึ่งกันและกันอย่างสมดุลย์
..
ยิ่งแบ่งแยก ยิ่งแตกต่าง ยิ่งทำให้ห่าง จากความ "ตื่นรู้"
..
ความดี และ ไม่ดี นั้น มันอยู่ในตัวเดียวกัน
มนุษย์มีครบหมด .. อยู่ในตัวเดียวกัน
ดำ ขาว ,สุข ทุกข์ ,ดี ชั่ว .. ผสมผสานกันอยู่ข้างใน
ถ้าคุณไม่เชื่อ .. คุณก็ลองตั้งคำถามกับตัวเองว่า ..
มันเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า..??
.. เช่น ..
คุณมี ดีอย่างเดียว ไม่มีไม่ดี เลยใช่หรือไม่
ในตัวคุณมีแต่สีขาว ไม่มีสีดำเลยใช่หรือเปล่า
ในตัวเรามีแต่สุข ไม่มีทุกข์เลยอย่างนั้นหรือ..??
..
ถ้าคุณตอบใจตัวเองได้ .. คุณก็จะเข้าใจว่า..
..
ความสำเร็จใดใด ย่อมอาศัยพึ่งพาซึ่งกันและกัน
พรสวรรค์ ก็ต้องอาศัย พรแสวง
ในขณะที่ พรแสวง ก็ต้องพึ่งพา พรสวรรค์
..
กว่าจะมีความสุขได้ ก็ต้องอาศัยความทุกข์ ด้วยเช่นกัน
..
สรรพสิ่งในเอกภพ ล้วนเป็นเพื่อนกัน ทำงานร่วมกัน ..
..
คุณจะพบคุณค่าในตัวเองแบบง่ายๆ ด้วยพรสวรรค์
แล้วก็ทำงานร่วมกันกับพรแสวง
แสวงหาความรู้ ความสามารถเพิ่มเติมใหม่ๆ เพื่อต่อยอดความสำเร็จ
..
เพียงเท่านี้ ชีวิตก็จะเจริญงอกงาม ก้าวหน้าได้อย่างมั่นคง
ด้วยความเข้าใจในธรรมชาติ อันเป็นของธรรมดา .. “ไม่แบ่งแยก” ..
บังเกิดเป็น ความตื่นรู้ เป็นผู้เบิกบาน เป็นผู้มีความร่าเริง สดใส ในทุกๆวัน..นั่นเอง

วันนี้คุณแปะ ติดราคา ค่าตัวคุณเอาไว้เท่าไหร่..??

..
ตัวคุณ..มีคุณค่า.. แถมมีป้ายราคาแปะติดตัวไว้ด้วยนะ
..
คำถามว่า..วันนี้คุณแปะ ติดราคา ค่าตัวคุณเอาไว้เท่าไหร่..??
คุณคู่ควรกับเสื้อผ้าเก่าๆมั้ย คุณเหมาะกับชีวิตแย่ๆหรือไม่
ถ้าไม่ คุณก็ดึงป้ายราคาอันเก่าของตัวเองออก
แปะติดราคาใหม่ให้ตัวเอง ด้วยการ.. “ชื่นชมตัวเองทุกวัน”
(ตอนเช้าก่อนอาบน้ำ .. และ .. ตอนเย็นหลังอาบน้ำ)
กินความสุขวันละสองเม็ด .. เช้า และ เย็น ..
..
ถ้าคุณเห็นคุณค่าตัวเอง .. "ราคา"คุณก็จะสูงลิบลิ่ว
เพราะราคาสินค้าทั่วไป ถูกกำหนด ด้วยราคาตามท้องตลาด
แต่ "คุณค่าของคุณ" คุณเป็นคนเดียวที่สามารถกำหนดราคาได้เอง
..
ถ้าอยากมีรายได้มากกว่าคน 90%
ก็ต้องทำงานอะไรที่ไม่เหมือนกับคน 90%
คนรวย ชอบคุยเรื่องไอเดีย..คุยเรื่องโปรเจค คุยถึงความคิดดีดี
คนจนชอบคุยเรื่องผู้คนที่ไม่ดี ..คุยเรื่องเหตุการณ์ สถานการณ์ต่างๆที่ร้ายๆ
..
อนึ่ง..เคล็ดลับของความมั่งคั่ง ร่ำรวย ก็คือ
..
ถ้าคุณไม่ชอบคนรวย คุณจะไม่รวย
ถ้าคุณรังเกียจความรวย คุณจะไม่รวย
..
ถ้าถามว่า .. ถ้าเลือกเกิดได้ .. คุณอยากเกิดมารวยหรือเปล่า ..??
..
เมื่อคุณตอบด้วยความจริงใจ คุณจะได้รับสิ่งนั้น อย่างแน่นอน..
..
แล้วคุณก็จะเข้าใจว่า ..ไม่ว่า คนรวย หรือ คนจน
ก็ไม่ได้การันตีว่า เค้าคนนั้น มีความสุข หรือ มีความทุกข์
ก็ไม่ได้การันตีว่า เค้าคนนั้น เป็นคนดี หรือ คนไม่ดี
..
ฉะนั้น .. คุณเพียงแค่เลือกเป็น “คนรวยที่ดี และมีความสุขด้วย” ..ก็เท่านั้น .. นั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2558

นิทานบันเทิงธรรม 062 เรื่อง นิทานของพระจันทร์

คุณต้องเปิดใจ (Open Mind , Open Up) ด้วยตัวคุณเอง

..
เมื่อไหร่ที่คุณไม่ชอบใจกับชีวิตที่เป็นอยู่
นั่นคือ..เวลาที่คุณกำลังต้องการสิ่งที่เรียกว่า ..
“การพัฒนาตนเอง”
..
บางคน..หากรู้สึกพอใจกับชีวิต..
ที่เป็นอยู่อย่างนี้ ..ในตอนนี้แล้ว ...... “ก็ไม่ว่ากัน”
แต่กับบางคน..ที่....รู้สึกว่าชีวิตทุกวันนี้มันยังไม่ใช่ .. “ก็ค่อยมาคุยกัน”
ไม่มีอะไรผิด ไม่มีอะไรถูก
เพราะมันคือความต้องการของแต่ละคน ..ไม่มีการบังคับกัน
เช่น ถ้าคุณ หรือ หรือคนใกล้ชิดติดเหล้า,เจ้าชู้, มีหนี้สิน,ติดพนัน ฯลฯ
ถ้าคุณอยู่กับสิ่งนั้นได้ โดยไม่รู้สึกว่าทุกข์อะไร.. “ คุณก็อยู่ไป”
..
แต่ถ้าวันใด..คุณรู้สึกว่ามันไม่ใช่ละ ไม่ได้ละ ..
แล้วเริ่มอยากมีอิสรภาพทางการเงิน
,อยากมีเวลาพักผ่อน ,อยากมีคนรักที่ดี ฯลฯ
คุณก็จะเริ่มค้นหาหนทางการเปลี่ยนแปลงเองตามธรรมชาติ
..
แน่นอนว่า .. คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคนอื่นได้
แต่คุณ..สามารถเปลี่ยนแปลงตัวคุณเองได้อย่างแน่นอน
ไม่มีใครบังคับ..คุณให้เปลี่ยนได้ ..
และคุณก็ไม่อาจบังคับใครให้เปลี่ยนได้เช่นเดียวกัน
..
คุณต้องเปิดใจ (Open Mind , Open Up) ด้วยตัวคุณเอง
..
ให้คนสำคัญ ที่ดี ที่ยอดเยี่ยมสักคน เพื่อเป็นต้นแบบ
และคิดถึงสิ่งที่ต้องการเป็นแบบเค้าคนนั้นประจำทุกวัน
แล้ว “สมอง” ของคุณจัดการหาวิธีการทุกอย่างให้เอง
..
ไม่ต่างจากตอนที่คุณเล่นเกม แล้วผ่านด่านไม่ได้
เพียงแค่คุณเก็บภาพของเกมนั้นเข้าไปในฝัน
แม้คุณไม่มีหนังสือคู่มือของเกม เกมนั้นก็ตาม..
แต่คุณก็จะผ่านด่านต่างๆไปได้เองโดยอัตโนมัติ
..
ขอแค่คุณใช้ “สมาธิ”  “มีสติ” นั่งฟังจิตใจของคุณเอง..
ด้วยความสบายใจ..เป็นสุข..อย่างสงบ..เท่านั้น..นั่นเอง

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2558

คนที่คุณควรวางให้ถูกที่ถูกงานก่อนเป็นอันดับแรก ก็คือ...

..
ดูคนออก      บอกคนได้     ใช้คนเก่ง
เช่นนั้นเอง   เป็นทางไป    ให้เกิดผล
บริหาร        งานช่ำชอง     ต้องแยบยล
ปัญญาล้น    ทนปัญหา       พาเจริญ

โดยเฉพาะ   เจาะจงไป   ที่ใจนี้
ว่าคุณมี       ดีอย่างไร     ให้ค้นหา
งานที่รัก      ปักตรึงจิต    คิดออกมา
ให้รู้ว่า         ค่าควรอยู่     คู่จุดยืน
..
..
การวางคนให้ถูกงาน
Put on the right man on the right job
..
คนที่คุณควรวางให้ถูกที่ถูกงานก่อนเป็นอันดับแรก ก็คือ
..
วางตัวคุณเองให้ถูกต้อง ตรงจุดยืนที่เป็นพื้นที่ของคุณจริงจริง
ในงานที่คุณรัก ในงานที่คุณทำแล้วมีความสุข
ในงานที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ที่ทำแล้วรู้สึกอิ่มใจ
..
ในวัยเด็ก เวลาที่เพื่อนบอกอะไร เพื่อนชวนทำอะไร
คุณก็อาจทำไป เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากกลุ่มเพื่อน
ทั้งๆที่ความรู้สึกลึกๆของคุณมันบอกว่า ..
ฉันไม่ได้ต้องการทำอย่างนั้นสักกะนิด
ฉันไม่ได้ต้องการเป็นอย่างนี้สักกะหน่อย
..
มีบ้าง..ที่อาจเป็นกิจกรรมที่สร้างความเดือดร้อน
และถูกกระตุ้นด้วยคำว่า “นายแน่หรือเปล่าวะ”
ขับรถแล้วต้องบิดให้สุดสุดไปเลย // เมาให้เต็มที่เลยเพื่อนคืนนี้
ลองเสพยาตัวนี้ดูไม่เป็นไรหรอก // มาลองพนันบอลกันดูสนุกดีนะ
เฮ้ย..ถ้าแน่จริง นายจัดการมันก่อนเลยสิวะ ..
เป็นประโยค อะไรแนวๆนี้ .. อยู่ประจำ
..
..
ก็ถ้าจุดเริ่มต้นของคุณ ไม่ได้เกิดจากความคิดที่ดีงามของคุณ
ก็ป่วยการเปล่า ที่จะไปเรียกร้องขอการยอมรับจากคนทั่วไป
เพราะ เมื่อไหร่ที่คุณไม่รู้จักยอมรับนับถือตัวเอง
ก็จะไม่มีใครยอมรับนับถือคุณเช่นกัน
..
ความจริง มนุษย์ทุกคน เกิดมามีดี อยู่แล้ว
มีความโดดเด่น แตกต่างกัน ตามธรรมชาติ
ไม่มีใครเก่งกว่าคุณ
และคุณ..ก็ไม่ได้เก่งกว่าใคร หรือ เสมอกับใครเลยสักคน
..
หยุด...!!! ให้คนรอบกายมาตัดสินชีวิตคุณ
แล้วค้นหาความสามารถที่ดีงาม ตามแบบฉบับของคุณ
..
ตั้งคำถามที่ถูกต้องกับตัวเองว่า
“ฉันเกิดมาเพื่อสร้างงานอะไรให้กับโลก..??”
แล้วให้ลมหายใจนับจากนี้ไป  เป็นลมหายใจ ..
ที่ใช้ด้วยจมูกของตัวคุณเองจริงจริงสักที
..
นั่นเอง

นิทานบันเทิงธรรม 061 เรื่อง พ่อแม่รังแกฉัน

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2558

..รักแม่ครับ..

..
พระคุณแม่ ประเสริฐล้ำ นำชีวิต
ฝังในจิต  ติดตรึงใจ  ให้ครวญหา
อ้อมกอดอุ่น ไอละมุน คุ้นกายา
ลูกขอมา กราบกรานลง ตรงตักเอย

ขอคุณพระ อวยพรแด่ แม่คนนี้
ให้ท่านมี ศรีเกษม เอมอิ่มใส
ดวงจิตชื่น รื่นฤดี ปรีดิ์เปรมใจ
เป็นร่มไทร ให้ลูกกอด ตลอดเทอญ

นิทานบันเทิงธรรม 060 เรื่อง ม้ากับลา

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558

“การยอมรับนับถือตัวเอง” จะทำให้รู้จัก “การยอมรับนับถือผู้อื่น” ไปด้วยเช่นกัน

..
คุณค่าคน   ชนทั้งหลาย  ในโลกนี้
ล้วนต่างมี   ดีอย่างยิ่ง    สิ่งสร้างสรรค์
ความสำเร็จ   อยู่ภายใน  ใคร่รู้กัน
พรสวรรค์   พลันส่งให้   ได้ดั่งปอง

เมื่อรักตน   ค้นพบได้   กำไรเกิด
จิตชูเชิด    ให้ตัวเอง   บรรเลงฝัน
รู้หยิบยื่น    ชื่นชีวี        ดีอนันต์
ใจแบ่งปัน  กันตลอด   กอดสุขเอย
..
..
..
วันที่คุณมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง
ว่า..คุณมีดีอย่างยอดเยี่ยมเป็นที่สุดอยู่แล้ว
ก็คือวันที่ .. คุณไม่ต้องสงสัยเลย
ว่า..ทำไม..??
คนอื่นๆ..ต่างก็มองไม่เห็นคุณค่าของคุณ
..
ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะ.. “คุณ” ..!!
ต้องการให้มันเป็นอย่างนั้น..นั่นเอง
คุณเปิดโอกาสให้ชีวิต
เป็นไปตามประกาศิตในใจของคุณไปแล้วเรียบร้อย
..
ยกตัวอย่างความเข้าใจคลาดเคลื่อนในบางเรื่อง.. เช่น
คำว่า.. “เห็นแก่ตัว”
แท้จริงแล้วเป็นคำๆนี้ดีงาม สวยงาม คู่ควร
แต่ส่วนใหญ่ถูกนำมาใช้ในทางที่ผิด ดูไม่ดี ไม่ถูกต้อง
“การเห็นแก่ตัว” นั้น ..
ไม่ได้หมายถึง การไปเบียดเบียนผู้อื่น
แต่หมายถึง การตกหลุมรักตัวเอง ..
การรู้จักมองเห็นคุณค่าของตัวเอง
การรู้จักทำชีวิตให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง เป็นอันดับแรก
ก่อนที่จะเผื่อแผ่ แบ่งปันความสุขให้กับผู้คนรอบกาย
..
โดยความสุข และ คุณค่าที่ว่านั้น
เกิดขึ้นจาก “จิตใจภายใน”
ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ “วัตถุภายนอก” ใดใดเลย
เป็นความหมายของการรู้สึกดีกับตัวเอง
เคารพตัวเอง ยอมรับนับถือตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร
..
ฉะนั้น ในทางตรงกันข้าม
คนที่เห็นแก่ตัวที่สุด คือ
คนที่มักจะเที่ยวไปขอความรักจากคนอื่น
จากการที่ตัวเองไม่สามารถหยิบยื่นให้ใครได้ เพราะไม่มี
จึงตระเวนตามหาจากผู้คนอื่นๆอยู่ร่ำไป โดยไม่อาจให้ใครได้
มิหนำซ้ำ .. ยังนำความทุกข์ของตัวเอง ไปให้กับผู้อื่นอีกด้วย
การที่จะไปเอาความรู้สึกดีดี..จากคนอื่นแต่ฝ่ายเดียว
นั่นแหละ จึงเรียกว่า .. “คนเห็นแก่ตัว..ตัวจริง” ..
..
การเป็นคนเห็นแก่ตัวในเบื้องต้น มีความรักเปี่ยมล้นในใจ
จะไม่อาจเก็บความรู้สึกดีดีไว้กับตัวเองคนเดียวได้
ในเบื้องปลายจิตใจจะเป็นไปเพื่อการแบ่งปันในทันที
..
ชีวิตที่เกิดมารู้จัก “การยอมรับนับถือตัวเอง”
ก็จะทำให้รู้จัก “การยอมรับนับถือผู้อื่น” ไปด้วยพร้อมกัน
..
สุดท้าย เมื่อคุณค้นพบความรู้สึกที่ดีจากใจตัวเองจริงจริง
คุณก็สามารถส่งมอบความรู้สึกดีดี ที่สุดวิเศษนั้น
ให้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกได้อย่างเสมอภาค..ด้วยเช่นกัน
..
นั่นเอง

นิทานบันเทิงธรรม 059 เรื่อง การให้

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เทคนิคง่ายๆ ในการทำเป้าหมายรายวัน

..
เป้าหมายใหญ่  ก้าวไปได้  ด้วยเรื่องเล็ก
คิด Project ที่ตั้งใจ  ให้เป็นผล
ตื่นเช้ามา หาความดี Peopleดล
ลำดับต้น จนถึงปลาย ใช้ทุกวัน

ครั้นเมื่อเสร็จ สำเร็จการ ผ่านมาได้
ให้ลองใช้ วิธีเพิ่ม เติมความหวัง
ด้วยการร้อง ก้องกับใจ ใส่พลัง
Yes!!ดังดัง สั่งจิตไว้ ในทุกคืน
..
..
เทคนิคง่ายๆ ในการทำเป้าหมายรายวัน
..
ทันทีที่ตื่นมาตอนเช้า
แว๊บแรกที่รู้สึกตัว สมองจะยัดเยียดความคิดนับร้อยมาให้คุณ
ซึ่งอะไรก็ตามที่คุณใส่ใจในตอนเช้า
มันจะส่งผลในชีวิตของคุณทั้งวันด้วยเช่นกัน
..
ฉะนั้นให้นึกถึง  3 สิ่งนี้  คือ
..
1.(Project)
โครงการ ที่คุณคิดว่าจะทำเพื่อความสำเร็จ
คิดออกมาให้เยอะที่สุด ซึ่งจะทำได้หรือไม่ได้นั้น ค่อยว่ากันอีกที
2.(People)
คนที่จะให้ความรู้  คนที่เป็นแนวทาง เป็นแบบอย่าง ที่จะให้ความรู้
สามารถให้วิธีการในการทำให้โครงการของคุณสำเร็จเสร็จสิ้นได้
อาจจะอ่านหนังสือของเขา
ดู Youtube ของเขา
หรือไปพบเขาด้วยตัวเองเป็นต้น
3.(Priority) เรียงลำดับความสำคัญของงาน ว่า
โครงการไหนที่สำคัญที่สุดในวันนี้
ที่คุณต้องการทำมันให้สำเร็จ
แล้วจัดการไปทีละโครงการ
..
..
จากนั้นเมื่อทำเสร็จแล้วในแต่ละโครงการที่กำหนดให้เสร็จภายในวันนี้
ให้คุณ Boom พลังให้กับตัวเอง ด้วยการกล่าว Yes !!! ดังๆ กับตัวเอง ทุกครั้ง
เพื่อเสริมพลังความมั่นใจ และมอบรางวัลความสำเร็จให้กับตัวเอง
เพื่อให้ร่างกายเคยชิน กับรสชาติความสำเร็จอยู่เป็นประจำทุกวัน
แล้วเป้าหมายต่างๆที่คุณตั้งใจไว้ จะค่อยๆสำเร็จไปทีละอย่าง ไปทีละข้อ
ทำให้ขั้นบันไดของความสำเร็จนั้นเติบโตขึ้น อย่างมั่นคง ทุกวัน ทุกวัน .. นั่นเอง

“หยุด..เสพติด..สิ่งมึนเมาทางความคิด”

..
ความคิดลบ คือปีศาจ ร้ายกาจนัก
ลวงหลอกลัก ขโมยใจ ให้หม่นหมอง
แถมยังทิ้ง ทั้งโรคภัย ไว้ครวญครอง
จำเป็นต้อง มองให้เห็น เป็นประจำ

กลวิธี ที่่ง่ายสุด คือหยุดย้ำ
จิตแจ้งธรรม กรรมที่ติด ปลิดปลิวหาย
ใช้ปัญญา พานำใจ ให้ผ่อนคลาย
จักสบาย ไปตลอด รอดฝั่งเอย
..
..
หัวขโมยที่เก่งที่สุด คือ “ความคิดลบ”ของคุณเอง
มันคือ“จอมหลอกลวง” ต้มตุ๋นคนได้อย่างแนบเนียน
ทำหน้าที่โกหก ชวนให้คิด ให้พูดคุย เรื่องร้ายๆ ได้ตลอดเวลา
..
มันขโมยเอาเงิน   เอาความสามารถ
ขโมยเอาคุณค่า เอาความเชื่อใจ
ขโมยคนรัก  ขโมยความสุข
ขโมยเวลา ขโมยอิสรภาพ
..
ทุกคนย่อมรู้ดีที่สุด แต่ก็ยอมเปิดทางให้ขโมยมันเข้ามาทั้งวันทั้งคืน
..
“หยุด..เสพติด..สิ่งมึนเมาทางความคิด”เพื่อให้จิตผ่อนคลาย
เลิกคิดลบ..แล้วจะพบ..ชีวิตที่ดีกว่าที่เคยเป็นอยู่..อย่างแน่นอน .. นั่นเอง

นิทานบันเทิงธรรม 058 เรื่อง คนเลี้ยงไก่

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2558

"คิดดี .. พูดดี .. ได้ดี " มันมีแค่นั้นจริงจริง .. ไม่มีอะไรซับซ้อนไปมากกว่านี้

..
ความเชื่อนี้ มีกำลัง ดั่งชีวิต
ดลให้จิต คิดเป็นไป ตามใจหวัง
คุณค่าเลิศ อันประเสริฐ เกิดพลัง
สุขพร้อมพรั่ง ทั้งหมดนี้ มีเพื่อคุณ

เพียงคำพูด จะฉุดให้ ใจเป็นสุข
บอกให้บุก ปลุกให้ตื่น ฟื้นสงสัย
เมื่อจิตดี สมองสั่ง ดั่งตั้งใจ
กำหนดไป ได้ทั้งหมด กฏแห่งธรรม
..
แค่คุณคิดอยากจะได้..คุณก็ได้
มันเป็นเหตุเป็นผล ของความเชื่อ
นักจิตวิทยา จับมือ กับนักวิทยาศาสตร์ ค้นพบแล้วว่า..
..
ความเชื่อ สามารถพิสูจน์ได้
มีกระบวนการทำงานที่ทดสอบแล้ว
ทดลองแล้ว ได้ผลลัพธ์เหมือนกันทุกครั้ง
..
คุณจะได้ในสิ่งที่คุณอยากได้ ด้วยวิธีการสั่งเซลล์สื่อประสาท
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง ..
..
เมื่อสมองส่วนประมวลผลกลางรับรู้ข้อมูล
มันจะทำงานตามที่คุณต้องการ
ต่อมาคุณจะเริ่มสร้างคุณค่าในตัวเอง
..
"คิดดี .. พูดดี .. ได้ดี "
มันมีแค่นั้นจริงจริง .. ไม่มีอะไรซับซ้อนไปมากกว่านี้
..
บอกกับตัวเองว่า...
ฉันทำอะไรได้ดีเสมอ ฉันเป็นคนดี ฉันเป็นคนเก่ง
ฉันเป็นคนที่รูปร่างดี ฉันมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง
ฉันเป็นคนมีความเมตตา ฉันชอบแบ่งปันอะไรดีดีให้กับคนอื่นๆ
ฉันมีความสุข ในทุกทุกวัน .. ฯลฯ
..
ตระหนักอยู่เสมอว่า ..
คุณจะสร้างคุณค่าของคุณต่อผู้คนรอบข้าง
คุณจะทนไม่ได้..ที่จะเห็นผู้คนอดอยาก เป็นทุกข์
คุณต้องการให้ผู้คนอยู่ดีกินดี มีความสุข
คุณจะหาทุกวิธีการ หาหนทางช่วยพวกเขาเหล่านี้
ให้ทุกคน สุขภาพร่างกายแข็งแรง ร่ำรวย มีความสุข ร่วมกัน
ด้วยวิธีการที่ง่ายดายที่สุด..นั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2558

“ความเชื่อมั่น” สำคัญกว่า “ไอเดีย (Idea)”

..
“ความเชื่อมั่น” สำคัญกว่า “ไอเดีย (Idea)”
..
ที่เป็นเช่นนั้น ก็เนื่องจาก .. ในปัจจุบัน
ผู้คน ล้วนมีความรู้ ความสามารถมากมาย กันอยู่แล้ว
ในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสาร โลกอินเทอเน็ต
Google Youtube Website ได้ให้ความรู้ในสิ่งต่างๆอย่างกระจ่างแจ้ง..
..
เมื่อมีความรู้มากมาย ก็จะกลายเป็นไอเดียดีดี
นำไปสู่นวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับสังคมโลกในที่สุด
..
อาทิ เมนูอาหารสูตรใหม่, การทำสินค้าออกมาใหม่ ,
การเดินทางแบบใหม่, การทำธุรกิจในรูปแบบใหม่ เป็นต้น
..
แต่ถ้าไอเดียนั้น ขาดความเชื่อมั่น ไอเดียดีดี ก็จะถูกทำลายหายไป
..
หลายองค์กร มีบุคลากร ที่มีความสามารถ เก่งฉกาจ
แต่มักขาดความมั่นใจในการนำเสนอเรื่องราวดีดี
เพียงเพราะหากการนำเสนอครั้งแรกนั้น..ยังไม่ได้รับการยอมรับ
ยังไม่ผ่านความคิดเห็นหรือมติจากที่ประชุม
บุคคลนั้น..ก็จะหยุดผลักดัน นวัตกรรมดีดี ออกมาให้กับองค์กรทันที
..
ถ้าวันนั้น สตีฟ จ็อบ ขาดความเชื่อมั่น ..
ในการนำเสนอโครงการเปลี่ยนปุ่มกดโทรศัพท์ มาไว้ที่หน้าจอ
โลกก็คงยังไม่มี ไอโฟนใช้ในวันนี้
ถ้าวันนั้น มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ขาดความเชื่อมั่น ..
หลังจากที่ถูกทางมหาวิทยาลัย ต่อว่าในการเขียนโปรแกรมรวมหนังสือรุ่น
ก็คงไม่มี เฟซบุ๊ค ในวันนี้
และยังมีอีกหลายต่อหลายคน
ที่พัฒนา นวัตกรรมใหม่ๆให้กับโลก
เพียงแค่มี.. “ความเชื่อมั่นในตนเอง”
..
ไม่ยอม เมื่อ ถูกปฏิเสธ
นำสิ่งที่เชื่อ มาพัฒนา ปรับปรุง
หาหนทางที่หลากหลาย .. ยืดหยุ่น กับวิธีการ
ถ้าทำแบบนี้ พูดแบบนี้ นำเสนอแบบนี้ไม่ได้ ก็แค่ลองเปลี่ยนวิธีการ ..
ในขณะที่หลักการ และ เป้าหมายยังชัดเจน เช่นเดิม
..
ในสมัยพุทธกาล
องคุลีมาล มีความเชื่อมั่น ว่า การฆ่าคนคือการทำให้บุคคลพ้นทุกข์
เหมือนบัวเหล่าที่ยังอยู่ในโคลนตม
ครั้นพระพุทธองค์ทรงชี้แนวทางเพียงนิดเดียวเท่านั้น ..
ก็พลิกกลับมาเป็นบัวพ้นน้ำ เหนือน้ำ ..
สำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ในที่สุด
..
ดังนั้น คนที่เชื่อมั่น จึงแบ่งได้เป็น 2 จำพวก คือ
เชื่อมั่นแล้ว “รู้จริง” กับเชื่อมั่นแล้ว “ไม่รู้จริง”
ความเชื่อมั่นที่ดีจริง จึงมีการพัฒนา และ เรียนรู้อยู่เสมอ
เมื่อนวัตกรรมทางใจบังเกิด ก็จะเป็นการแจ้งเกิดนวัตกรรมอันล้ำเลิศ
เป็นประโยชน์ต่อโลก ต่อเรา ด้วยกันทั้งนั้น .. นั่นเอง
..
..
“โลกยังรอคอยความเชื่อมั่นจากคุณอยู่นะครับ”

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2558

"คุณค่า" อันยิ่งใหญ่ของมนุษย์..ก็คือ การได้มีโอกาสยืนอยู่บน.."จุด"..ที่เหมาะสม

..
"คุณค่า" อันยิ่งใหญ่ของมนุษย์..ก็คือ
การได้มีโอกาสยืนอยู่บน.."จุด"..ที่เหมาะสม
จุดยืนที่เหมาะสม อยู่ที่ .. "คุณ" .. รู้ว่า ..
"ตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร.."
..
ชีวิตคุณ มีคุณค่า ในแบบของคุณ เป็นปัจเจกชน
เพียงแค่ตั้งใจค้นหา พิจารณาความเป็นเลิศในตัวเอง
..
ในทันทีที่คุณรู้ตัวเองแล้วว่า ..  คุณควรยืนอยู่ ณ จุดใด
..
แล้วคุณจะสัมผัสได้ว่า
คุณ..สามารถกลายเป็นอีกคน ที่ทรงคุณค่า
มีราคาแสนแพงต่อดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้มากมายขนาดไหน
..
คนก็เหมือนกับ"น้ำมันดิบ"
ที่หมักหมม มานานนมใต้พื้นพิภพ
จับแล้วเลอะเทอะ เหนียวเหนอะ น่ารังเกียจ
แต่ในทันทีที่มันถูกขุดเจาะขึ้นมาจากใต้พื้นโลก
แล้วนำมาใช้ประโยชน์ เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องยนต์ กลไกต่างๆ
มันจึงมีคุณค่ามหาศาล กลายเป็นของมีราคาขึ้นมาในชั่วพริบตา
..
ดั่ง..เพชร..ที่ซ่อนอยู่ในโคลนตม ก็เช่นกัน
ผู้คนจะได้ชื่นชมก็ต่อเมื่อ..มันถูกเคลื่อนย้ายมาอยู่ท่ามกลางแสงไฟ
ฉันใด ก็ ฉันนั้น
..
เป็นเรื่อง ง่าย ง่าย..
ถ้าเพียงแค่คุณลอง .. มองด้วยใจ
..
ด้วยการตั้งคำถามที่ถูกต้องกับตัวเอง ว่า ..
"ฉันเก่งงานอะไร // ฉันถนัดงานอะไร // งานอะไรที่ฉันรักที่จะทำ..??"
แล้วใช้สมาธิ ใช้สติ ใคร่ครวญดู
เปิดใจ เปิดอก พูดคุยกับตัวเอง อย่างจริงจริง จังจัง ดูสักครั้ง
เพราะคุณคือคนเดียวในโลกนี้..ที่จะให้.."คำตอบ"..กับตัวเองได้
..
แล้วคุณจะสัมผัสถึงขุมพลังที่ส่องประกายฉายแววออกมา
..
ค้นหาจุดยืน แล้วเคลื่อนย้ายตัวเอง..
ให้ก้าวไปอยู่ใน.."จุด"..ที่ได้มีโอกาสแสดงถึงคุณค่านั้น
เพื่อผู้คนจะได้ประจักษ์และได้สัมผัสคุณค่านั้นไปพร้อมกับคุณด้วย
..
เพราะชีวิตคุณ ถูกสร้างมาเพื่ออะไรบางอย่าง ที่พิเศษ และมีความหมาย
และนั่นคือเหตุผลสำคัญอย่างยิ่ง
ในฐานะที่คุณได้รับการคัดเลือก ..
ให้เป็นส่วนหนึ่งของสรรพชีวิตที่ดำรงอยู่..บนโลกใบนี้..นั่นเอง

นิทานบันเทิงธรรม 055 เรื่อง ความรักกับต้นหญ้า

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2558

แข่งขันกับตัวเองทุกวัน เพื่อเป็นคนที่ดีขึ้น .. เก่งกว่าตัวเองคนเมื่อวาน

..
แข่งขันกับตัวเองทุกวัน
เพื่อเป็นคนที่ดีขึ้น .. เก่งกว่าตัวเองคนเมื่อวาน
..
การตั้งหน้าตั้งตาแข่งขันกับคนอื่น หรือเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นนั้น
แท้จริงแล้ว .. ล้วนมาจาก ความรู้สึกขาดแคลน รู้สึกมีไม่พอ
มาจากความเข้าใจผิดคิดว่า โลกนี้ มีทรัพยากรจำนวนจำกัด
คิดไปเองว่า .. ถ้าเธอได้มาก ฉันจะมีน้อยลง
..
ทัศนคตินี้ .. ทำให้จิตมนุษย์ไม่นิ่ง เสียสมาธิ ขาดสติ
..
ความจริงแล้ว โลกมีทรัพยากรมากเกินพอสำหรับมนุษย์ทุกคน
มนุษย์ไม่จำเป็นต้องแก่งแย่งกัน ก็อยู่ได้อย่างมีความสุข
ในขณะที่ หากมนุษย์ช่วยเหลือกัน แบ่งปันกัน
ผลักดันให้มนุษย์ด้วยกัน ได้ดี
สิ่งดีนั้น จะย้อนกลับมาสู่ บุคคลที่เป็นผู้ให้ อย่างไม่มีประมาณ
เหมือนสายธาร ที่ให้ความชุ่มฉ่ำ เหมือนแสงตะวันที่ให้ความอบอุ่น
เหมือนต้นไม้ที่มอบอากาศบริสุทธิ์ เหมือนผืนแผ่นดินที่ให้พืชพรรณธัญญาหาร ฯลฯ
..
หากตั้งคำถามว่า ..คนเราทุกข์เพราะอะไร ..??
ทุกข์เพราะเห็นคนอื่นมีความสุข ..??
ทุกข์เพราะเห็นคนดูดี ทุกข์เพราะเห็นคนรวย .. ??
ทุกข์เพราะทรงผม ทุกข์เพราะเสื้อผ้า หรือ ทุกข์เพราะยานพาหนะ .. ??
..
คุณทุกข์เพราะสิ่งเหล่านี้จริงๆเหรอ ..!!
ถ้าคำตอบคือไม่ใช่ แล้วคุณจะทุกข์ไปทำไม
..
ความจริงแล้ว .. ทุกคนเกิดมาทีคุณค่า ไม่มีใครเสมอเหมือนอยู่แล้วในโลก
เหมือนดอกไม้นานาพรรณในป่า ที่อุดมสมบูรณ์ แตกต่าง แต่ เติมเต็มให้กันและกัน
ดอกกุหลาบไม่อาจตำหนิดอกบัวว่าไร้คุณค่า
ต้นโพธิ์ใหญ่ ไม่อาจเหยียดหยามต้นไทร ว่า ไร้ความหมาย
ต้นทุเรียน ไม่อาจไปเยาะเย้ย ต้นลำไย ว่า ไม่มีรสชาติ ฉันใด
ทุกสิ่งอย่าง ทุกผู้คน ก็ต่างล้วนเกิดมาเพื่อสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้โลกด้วยกันฉันนั้น
..
เมื่อเห็นคุณค่า ความงดงาม ความมีประโยชน์ต่อโลก ของตัวเองได้เมื่อไหร่
บรรดาอาภรณ์ เครื่องประดับภายนอก จะวิ่งตามเข้ามาหาคุณเอง
..
..
แต่ในทางตรงกันข้าม
ถ้าคุณ ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งตามแฟชั่น เครื่องประดับตกแต่งภายนอก
มันจะยิ่งวิ่งหนีคุณ .. ยิ่งวิ่งตาม ยิ่งห่างไกล ..ไปจนกว่าคุณจะเข้าใจในคุณค่า
จนกว่าคุณจะนำความสามารถที่มีคุณค่านั้น..หยิบยื่นช่วยเหลือสังคมโลก
แล้วเงินตรา วัตถุภายนอกนั้น ก็จะเป็นฝ่ายวิ่งตามหา โถมเข้ามาหาคุณ
..
คุณไม่ใช่"คนแรก"ในโลก..ที่เจอปัญหา ที่เจออุปสรรค
เพราะ..คนประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ เค้าก็พบเจอปัญหาเหล่านี้กันทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเป็น ฐานะทางการเงิน ฐานะทางสังคม การศึกษาไม่สูง ฯลฯ
..
คนที่มีความสุขที่สุด ..ความจริงแล้ว.. เค้าก็มีความทุกข์มากที่สุดด้วยเช่นกัน
เพียงแต่เค้าบอกใจให้.."หยุด"..
หยุดหาเหตุผลที่คอยกระซิบบอกตัวเองว่า ..ฉันไม่มีทางประสบความสำเร็จ
ด้วยเงื่อนไขต่างๆนานา ที่มันมีตั้งหน้าตั้งตายื้อยุด ฉุดรั้ง พลังชีวิตให้ล้มเหลว
..
คนประสบความสำเร็จ ได้พิสูจน์ให้โลกเห็นแล้ว
คุณก็แค่เลียนแบบ เท่านั้น ที่สำคัญ..
ให้ปล่อยใจ วางใจ เบาเบา ผ่อนคลาย มีความสุขจากใจ ไม่ใช่จากวัตถุภายนอก
เพียงแค่ทำงานที่คุณรัก..ฝึกทักษะ ..แล้วสนุกไปกับมัน..ทุกวัน ทุกวัน
ก็มีประโยชน์มากพอ ..ที่จะส่งคุณให้ไปสู่ชีวิตที่สมบูรณ์ สมดุลย์ เป็นสุข ..
เกิดความสบายกาย สบายใจ ..ไปพร้อมกับความสำเร็จอย่างงดงาม และมีคุณค่าต่อโลกต่อเรา .. นั่นเอง

นิทานบันเทิงธรรม 053 เรื่อง ลูกช้างกับช่างไม้

นิทานบันเทิงธรรม 052 เรื่อง บันทึกก้อนกรวด