Welcome

Welcome

Profile

Profile

แนะนำ หลักสูตร การพัฒนาตนเองและทำงานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558

โค้ชคม สูตรแห่งความสำเร็จในชีวิต


โค้ชคม นิยามความสุข


โค้ชคม เล่นเกมออมทรัพย์


โค้ชคม ทำความรู้จักผู้เข้าอบรม


โค้ชคม ตามดู รู้จิตตัวเอง



วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

3 วิธีจัดการความทุกข์ง่ายๆ

..
เมื่อมีความรู้สึก "ทุกข์" เข้ามา
..
3 วิธีจัดการความทุกข์ง่ายๆ
..
1. ดูมันอยู่เฉย โดยไม่ต้องต่อยอดความทุกข์
คือ ..ไม่ต้องหาเหตุผลมาสนับสนุนทุกข์นั้น
แล้วปล่อยให้มันคลาย และหายไปเอง
..
2. ให้ขอบคุณเหตุการณ์ต่างๆที่ทำให้คุณรู้สึกทุกข์ ณ ตอนนั้น
คือ แปลความหมาย หรือ ตีความหมาย
ในเรื่องราว  ในเหตุการณ์นั้นๆ
ให้เป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ควรขอบคุณ
..
3. ค้นหามุมมองที่ดี มีความสุข
จากเหตุการณ์ที่คุณคิดว่าทุกข์ ให้เจอ
ด้วยการมองโลกตามความจริง
จากความเข้าใจว่า มีทุกข์ ก็ต้องมีสุข คู่กัน
เมื่อวางทุกข์ลง ก็จะเหลือแค่สุขคงอยู่
ให้คุณได้เก็บเกี่ยวเอาประโยชน์จากเหตุการณ์นั้นๆ
..
คุุณไม่ได้หลีกหนีทุกข์ แต่คุณกำลังเข้าใจทุกช์มากขึ้น
.. ว่า ..
ทุกข์นั้น มักนำพาความสุขมาให้
ทุกข์นั้น มักผูกติดเอาความสุขมามอบให้
เป็นรางวัลให้คุณเสมอ ทุกครั้ง .. นั่นเอง

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

ความเชื่อ เป็น วิทยาศาสตร์ สามารถพิสูจน์ได้จริง

..
ความเชื่อ เป็น วิทยาศาสตร์ สามารถพิสูจน์ได้จริง
ความเชื่อ เป็น วิธีการป้อนข้อมูล ใส่เงื่อนไขความสำเร็จ
เข้าสู่สมองได้เข้มข้นที่สุด
..
เมื่อเชื่อว่าจะได้ ก็จะได้
อะไรที่มนุษย์เชื่อ มนุษย์จะดึงดูดสิ่งนั้นเข้ามา
กฎแรงดึงดูด จะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
..
ปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นกับคุณ จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
แต่เป็นเรื่องที่คุณตั้งใจจริงๆอย่างเข้มข้น
ที่ต้องการให้มันเกิดขึ้น
..
ด้วยการที่คุณตอกย้ำ ข้อมูลที่ต้องการซ้ำๆ
บ่อยๆ ทุกวันๆ อย่างสม่ำเสมอ
พลังแห่งแรงดึงดูดก็จะน้อมนำสิ่งนั้นเข้ามาหาคุณ
..
แม้แต่อะไรที่มันไม่จริง
แต่ถ้าคุณเชื่อ มันจะกลายเป็นความจริง
..
..
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ..
ถ้าสิ่งที่คุณต้องการ
เป็นสิ่งที่สร้าง"ความภาคภูมิใจ"
ให้กับตัวคุณเองได้ด้วยแล้ว
ก็จะยิ่งทำให้ความเชื่อนั้น
นำ"ความสุข"ผูกติดตามมาอีกด้วย
..
เมื่อเชื่อด้วยปัญญา จะเกิดความเข้าใจได้ว่า
พลังความเชื่อ มีพลังผลักดัน และดูดกลืน
ให้มนุษย์ได้ในสิ่งที่หวัง
ด้วยการฝังสิ่งที่ต้องการเข้าไปในสมอง
สมองจึงทำหน้าที่.."กลั่นกรอง"..
เอาวิธีการทำออกมาให้ เพื่อใช้ไปสู่สิ่งที่ต้องการ
ซึ่ง.."วิธีการ"..ที่กลั่นออกมาได้นั้นเรียกว่า "ปัญญา"
..
อย่างไรก็ตาม "ปัญญา" ที่ได้ในช่วงแรก
อาจยังไม่ใช่ปัญญาที่ถูกต้อง สมบูรณ์พร้อมใช้ได้ผลในทันที
แต่นั่นคือวิธีการที่ดีที่สุด ที่สมองของคุณในขณะนั้นกลั่นกรองออกมาได้
..
"ปัญญา" จะพัฒนาได้เร็วไว
เมื่อใช้ประสบการณ์ ผ่านการทดลอง
การค้นพบแนวทางใหม่ๆ
ด้วยพลังใจ (ใจที่เป็นปกติ ใจสงบ ใจสบาย : ศีล)
และข้อมูลที่ดี (Information & Knowledge)
มีการคิดถึงอย่างตั้งมั่น จดจ่อ ต่อเนื่อง (สมาธิ)
..
มนุษย์ มักจะไม่ค่อยเชื่ออะไรง่ายๆ
ด้วยมีเหตุผลเยอะมากไป
ทำให้วิตก วิจารณ์ มากเกินไป
..
มนุษย์..จึงแสวงหาวิธีการที่ง่ายที่สุดที่จะ"เชื่อ"ให้ได้
เพื่อนำพาใจไปสู่ความเชื่อ เชื่อใจ เชื่อมั่น
พร้อมที่จะเป็นตะเกียงส่องแสงสว่างให้กับตัวเอง
..
บางคนอาศัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เครื่องรางของขลัง
เพื่อให้สิ่งเหล่านั้น นำพาให้เชื่อได้อย่างสนิทใจ
..
ฉะนั้น ความจริง จึง อยู่ที่ ความเชื่อ
ถ้าคุณเชื่อ คุณจะเป็น
ถ้าคุณเป็น คุณจะได้
ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าหากคุณเชื่อใจในตัวเองมากพอ .. นั่นเอง

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2558

มนุษย์ไม่มีสิทธิ์ตัดสินตัวเองว่า ถูกหรือผิด

..
มนุษย์ไม่มีสิทธิ์ตัดสินตัวเองว่า ถูกหรือผิด
คนอื่นก็เช่นกัน เค้าก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินตัวเอง หรือตัดสินใครๆ ได้เช่นกัน
..
เพราะ คนทุกคน ต่างก็เหมือนกัน เท่าเทียมกัน
ธรรมชาติให้มาเหมือนกันอย่างสมดุลย์
..
เหมือนดอกไม้นานาพรรณ ต้นไม้ชนิดต่างๆ นานา
เพื่อให้โลกมีสีสัน สดใส สวยงาม สมดุลย์
มีคุณค่าในแบบของแต่ละคน แต่ละอย่าง อย่างสมบูรณ์
..
มนุษย์ เหมือนกัน กับทุกสรรพสิ่ง
..
ฟ้าปกคลุม โอบล้อมคนทุกคน
ไม่แยก ไม่แบ่งว่า คนรวย คนจน คนสวย คนหล่อ
แผ่นดินไม่ได้แยก แบ่งว่าคนนี้เหยียบได้ คนนี้เดินไม่ได้
อากาศมอบชีวิตให้กับคนทุกคนได้หายใจ
คนทุกคน ต้องแก้กระหายด้วยน้ำ
เป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด ทั้งนั้น
..
ฉะนั้น จึงไร้เหตุผล ที่จะแบ่งแยกเรา แบ่งแยกเขา
ด้วยปัญญาข้อนี้ เราจะละวาง ความทุกข์ได้ง่าย
ทุกสรรพสิ่ง ที่เป็นของไม่จริง
โชค วาสนา ชื่อเสียง เกียรติยศ ยี่ห้อแบรนด์ดัง ฯลฯ
หลอกกันไป ลวงกันมา ให้งงงันกันไปตามๆกัน
..
ด้วยสัจจธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตื่นรู้
ทรงทำให้เห็นแจ้งแล้วนั้น
เราทุกคนจึงสามารถหลุดพ้นทุกข์
และหยิบเอาความสุขได้แบบสบาย
มองเห็นสุขที่อยู่ในตัวคนทุกคนได้ อย่างเป็นธรรมชาติ
เป็นของเข้าใจได้ง่ายตามธรรมดา .. นั่นเอง
..

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558

ความฝัน ก็คือ ความจริง

..
ความฝัน ก็คือ ความจริง ..
เมื่อคุณคิด คุณจะรู้สึก ถึงสิ่งๆนั้นทันที
..
ไม่ว่า สิ่งนั้นจะดี หรือไม่ดี .. ไม่ว่าสิ่งนั้น จะถูกหรือผิด
..
สมองจะเข้าใจว่า..นั่นคือ.."ความจริง"
ในช่วงที่คุณนอนหลับสนิท
สมองคุณจะแยกไม่ออกเลยว่า
นี่คือเรื่องจริง หรือ ความฝัน มันจะคิดว่า .. นั่นคือ เรื่องจริงเสมอ
..
โลกแห่งความเป็นจริงก็เช่นกัน
เมื่อคุณฝันถึงสิ่งที่คุณต้องการ ตั้งใจจะเอามาให้ได้
ปฏิกริยาอากัปกริยา อาการภายนอก จะปรากฏออกมา ทันที
ผ่านสายตา ภายแววตา ผ่านมุมปาก
ผ่านสารที่หลั่งออกมาจากการสั่งของสมองเข้าสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย
..
คุณจึงมีสิทธิ์ฝัน
คุณจีงมีหน้าที่คิดถึงฝัน
คิดถึงด้านดีดีของตนเอง
คิดถึงด้านดีดีของคนอื่น ..
..
ความฝันถึงความสุข คือ
หน้าที่อันดับแรก ในทุกเช้า
ก่อนที่จะทำสิ่งอื่นสิ่งใดในโลกนี้ ..
และเป็นหน้าที่สุดท้ายก่อนจะหลับตานอน
..
ในแต่ละวัน คุณต้องมองให้เห็นข้อดีของคุณเอง
แล้วคุณก็จะมองเห็นคุณค่า ข้อดีของคนอื่นไปโดยอัตโนมัติ
..
คุณไม่จำเป็น ต้องไปฟัง เหตุผล เก่าเก่า ของตัวเอง
หรือ เหตุผลเดิมเดิม ของคนอื่นๆ ที่ร้ายๆ ที่ทำลายความรู้สึก
ไม่จำเป็นต้องฟังเพลงเศร้า ดูหนังเศร้า รันทด หดหู่
ข่าวคราว ข่าวสารต่างๆ ที่ปิดบังคุณจากความคิดดีดี
..
คุณเพียงเข้าใจว่า .. สิ่งดี สิ่งนั้น มีอยู่กับตัวอยู่แล้ว..
โลก เอกภพ จักรวาล รังสรรค์ สร้างสรรค์ มาให้คุณเป็น ..
..
ไม่ว่าจะเป็นความจน ความผิดพลาด
ความรวย ความไม่หล่อ ความพิการ
ความสวย ความมีการศึกษาน้อย
ความมีไอคิวสูง ความมีจิตใจ ความรู้จักกลัว ความรู้จักกล้า ฯลฯ
..
ทั้งหมดนี้
ล้วนแล้วแต่เป็นข้อดี ที่จะผลักดัน คุณให้ไปสู่ความสำเร็จในชีวิตทั้งนั้น
..
เงื่อนไขเดียวก็คือ ..
คุณต้องมองเห็นด้วยใจ ถึงคุณค่าในสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับคุณ
และแปลความหมาย แปรเปลี่ยนให้มันเป็นความรู้สึกที่ดี กับคุณให้ได้ ในทุกๆวัน
..
นี่คือ อาชีพแรก
นี่คือ งานแรก
ที่คุณต้องทำ ในแต่ละวัน ให้ดีที่สุด .. เพื่อความเจริญก้าวหน้า.. และฝันที่เป็นจริง .. นั่นเอง


จิตใจน้อม..นำพาให้เข้าใจ..นำไปใช้ชีวิตอย่างแท้จริง

..
ไม่สำคัญว่าคุณจะเข้าวัดบ่อยแค่ไหน
จึงจะ"เห็นแจ้งในธรรม"
..
ไม่ได้อยู่ที่คุณเข้าคอร์สอบรมสัมมนามากี่ครั้ง
จึงจะใช้ความรู้ ความสามารถ
ในการดำเนินชีวิตให้ไปถึงเป้าหมายที่ต้องการได้
..
แต่สำคัญอยู่ที่ ในแต่ละครั้งที่ไป
คุณได้น้อมใจ ซึมซับเรื่องราวเหล่านั้นมากแค่ไหน
..
คนที่ อินมาก ซึมซับมาก
รู้สึกร่วมไปกับกิจกรรมที่ทำ ณ ปัจจุบัน มาก
ก็จะนำความเข้มข้นนั้น ไปใช้ในชีวิตได้อย่างแท้จริง
..
ฉะนั้น นอกจากพระในวัด ท่านจะเทศนาดีแล้ว
หรือ วิทยากรจะถ่ายทอดเก่งแล้ว ก็ตาม
..
ก็ยังต้องอาศัยผู้เข้ารับฟัง มีใจน้อมนำมาด้วยเช่นกัน ..นั่นเอง

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2558

เวลาของมนุษย์ มีไม่เท่ากัน

..
เวลาของมนุษย์ มีไม่เท่ากัน
..
เพราะมนุษย์สามารถสร้างงานคุณภาพจริงๆได้
ในช่วงระยะเวลาที่ไม่เท่ากัน
มนุษย์ใช้เวลา
ในการปล่อยใจให้ปกติ สบาย(ศีล) อย่างต่อเนื่อง(สมาธิ)
กระทั่งเกิดเป็นงานคุณภาพ(ปัญญา) ได้ไม่เท่ากัน
..
แท้จริง มนุษย์แต่ละคน ..
ต้องการเวลาจริงๆ ไม่มากเท่าไหร่เลย ..
เพียงแค่ รู้ตนเอง
ค้นพบตนเอง ให้เจอ ให้เห็น ให้เป็น ..
แล้วขายความเป็นตนเองได้
..
ไม่จำเป็นต้องดูนาฬิกา ว่า 1 วัน 24 ชั่วโมง
ทำงานไปแล้วทั้งหมดกี่ชั่วโมง
..
เพราะ ระยะเวลาในการทำงาน
ไม่ได้ตอบโจทย์ความสำเร็จของงาน
..
คุณภาพ คุณค่า ของงาน สำคัญกว่า ปริมาณงาน ที่เกิดขึ้น
..
หากขายตนเองเป็น
ขายคุณค่าของงานที่เกิดขึ้นจากตัวเราเป็น
Promote โฆษณาตัวเองให้เป็น
Present นำเสนอตัวเองให้เป็น
ด้วยการค้นหาจุดเด่น จุดดี ของตัวเอง
ทำให้คนส่วนใหญ่ได้เห็นว่าดี ได้รู้ข้อดี ได้ประโยชน์สุข
ทำให้คนส่วนใหญ่ประทับใจ จากผลงานที่ยอดเยี่ยมของคุณ
เพราะ คนส่วนใหญ่จะจดจำคุณได้ ไม่ได้เกิดจากสมอง ไม่ได้เกิดจากเหตุผล
แต่คนส่วนใหญ่จะจดจำคุณได้ เกิดจากจิตใจ เกิดจากความรู้สึก
เพราะ คนส่วนใหญ่ก็คือคนเหมือนกับคุณ
คุณชอบยังไง คุณกังวลยังไง คุณมีความรู้สึกยังไง
คนส่วนใหญ่ก็มีความรู้สึกอย่างนั้น ด้วยเช่นกัน
..
ซึ่งนั่น .. จะทำให้คุณประสบความสำเร็จ
..
ยกตัวอย่าง ศิลปินวาดภาพชื่อดัง ที่วาดภาพเก่งมาก
แต่ นำเสนอผลงานของตัวเองไม่เป็น
กว่าคนจะมารู้คุณค่าก็ต่อเมื่อ ตายไปแล้ว ..
..
ขณะที่ ระยะเวลา ในการวาดภาพนั้นๆ
ไม่ได้ใช้เวลานานเลยสักนิด
..
ตรงกันข้ามกับศิลปิน ที่สามารถนำเสนอผลงานของตัวเอง
ในแบบฉบับของตนเอง
ดึงผู้คน ให้เข้าไปอยู่ในโลกของเขาเองได้เป็นอย่างดี
..
ก็สามารถขายผลงานชิ้นเดียวในโลกของตัวเองได้
..
ซึ่งก็เปรียบเสมือนคนแต่ละคน
ที่เกิดมามีราคาค่างวด นับเป็น พันล้านบาท
เพราะเค้าเกิดมาเป็นหนึ่งเดียว เป็นสินค้าเพียงชิ้นเดียวในโลก
 หากเค้านำเสนอตัวเองเป็น
เค้าก็จะค้นพบคุณค่า  ราคาที่มีอยู่อย่างมหาศาลในตัวเอง
..
และสามารถ ประสบความสำเร็จในชีวิต ได้อย่างง่ายดาย ..นั่นเอง

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558

พื้นฐานแห่งรัก

..
พื้นฐานแห่งรัก
..
มักจะมี 2 ความรู้สึก เป็นพื้นฐานสำคัญ คือ ..
ความรู้สึกขอบคุณ หรือ
ความรู้สึกหวาดกลัว
..
..
ถ้าทำด้วยความรู้สึกขอบคุณ
วิธีการแสดงความรักของคุณจะเป็นแบบ..
อยากตอบแทนความรักที่เธอมอบให้
ประหนึ่งเหมือนคนรักของคุณ
ได้มอบสิ่งที่วิเศษให้แก่คุณมาตั้งมากมายแล้ว
คุณจึงห่วงใย เข้าใจ พร้อมให้อภัยอยู่เสมอ
อันเป็นที่มาแห่งความรักที่เป็นสุข
..
ถ้าทำด้วยความกลัว
วิธีการแสดงความรักของคุณจะเป็นแบบ..
หวาดระแวง ระแวด ระวัง
กลัวจะสูญเสียคนที่คุณรักไป
กลัวว่าเค้าจะไม่รักคุณ เหมือนอย่างที่คุณรักเค้า
ความรักแบบนี้ จะเกิดความหึงหวง ครอบครอง หน่วงเหนี่ยว
ไม่มีความเป็นอิสระทั้งทางด้านร่างกาย และ อิสระทางด้านจิตใจ
อันเป็นที่มาแห่งความรักที่เป็นทุกข์
..
ฉะนั้น เมื่อคุณมีความรัก จึงต้องรู้จักรักให้เป็น
รักอย่างไร ให้เป็นสุข รักอย่างไร ให้เราและเขา
ได้พากันเจริญก้าวไป ในทิศทางแห่งจิตใจที่เบิกบาน และงดงาม ..นั่นเอง
..
..
..
..
..
มีคนเค้าว่ากันว่า..
..
เวลาสามี ภรรยา ทะเลาะกัน
ความรู้สึกของผู้หญิง กับ ผู้ชาย จะต่างกัน
..
ผู้ชาย จะเดินหนี เพราะ
ผู้ชายจะทนเห็นคนที่เค้ารัก
กำลังโกรธเค้า หรือกำลังรู้สึกแย่กับเค้า .. ไม่ได้
..
ในขณะที่ผู้หญิง มีความรู้สึกว่า
การเดินจากไป คือ การบอกว่า.. "เธอไม่รักฉันแล้ว"
..
ผู้หญิงรู้สึกว่า..ให้เธอกับฉันยืนทะเลาะกันนานแค่ไหนก็ได้
แต่อย่าจากฉันไปไหน
..
นั่นคือธรรมชาติ ของคนรักกัน
บนพื้นฐานของความรักกัน
..
เพียงแต่ ไม่เข้าใจ ความรู้สึกของกันและกันเท่านั้นเอง
ก็เลยตีความหมาย แปลความหมาย ผิดเพี้ยนไป จากความจริง
..
..
เมื่อเหตุการณ์นั้น มันผ่านไป
เราจึงค่อยๆ ใช้ ความรู้สึกดีดี
อารมณ์ดีดี มาพูดคุยกัน
โดยตัดความโกรธ ความไม่พอใจ ออกไป
ก็จะทำให้ ทั้งสองฝ่าย เปิดใจ และเกิดความเข้าใจกันและกัน
..
..
..
ผู้รู้จึงบอกว่า..
เมื่อไหร่ก็ตาม ที่เกิดความไม่เข้าใจ ..ทะเลาะกัน
..
ให้ผู้ชาย เข้าใจ
ด้วยการเคารพความรู้สึกของผู้หญิง
อยู่เคียงข้างเค้า
..
ไม่ว่าตอนนั้น เค้าจะรู้สึกไม่ดี
หรือ มีเหตุผลยังไง
ก็ให้อยู่เคียงข้างกันเอาไว้ก่อน
(เพราะในความหมายลึกๆแล้ว
ผู้หญิงอยากจะบอกว่า .. ช่วยกอดฉันเอาไว้หน่อยได้มั้ย)
..
..
อย่างไรก็ตาม ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา
เพราะไม่มีใครเกิดมา เป็นนักรักมืออาชีพ
..
แม้แต่พ่อแม่ของเรา ท่านก็รักเรามาก
..
แต่ท่านก็แสดงออกทางความรู้สึกได้ ไม่ดี ไม่ตรงกับที่ใจเราคิดเลย
ทั้งๆที่ ข้อเท็จจริงคือ .. ต่างก็รักกัน.. นั่นเอง

ทุกสรรพสิ่ง..ล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน

..
จระเข้ ช้าง ม้า วัว ควาย
ยุง แมงมุม พยาธิ คน ใบไม้ ดิน น้ำ อากาศ ฯลฯ
ทุกสรรพสิ่ง..ล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน มีความสัมพันธ์กัน
เกี่ยวข้องกัน แยกกันไม่ออก
เป็นวัฏจักร หมุนเวียน เปลี่ยนไปตามกาลเวลาอยู่อย่างนั้นไม่รู้จบ
..
ช่วงนี้เขาเกิดเป็นสิ่งนี้ อย่างนี้
ช่วงนี้เราเกิดเป็นสิ่งนั้น อย่างนั้น
ผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนกัน ตามวาระกรรม
..
เขามีบ้าน ก็เท่ากับเรามี
เขาขับรถดีดี ก็เท่ากับ เรามีขับด้วย
ด้วยความรู้สึกดีไปกับเขา
ด้วยความรู้สึกมีความสุขไปกับเขา
..
เมตตาธรรม จะนำไปสู่ความเข้าใจ
ว่าเราทุกคน ทุกสรรพสิ่ง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เพียงแต่แปรสภาพไปอย่างนั้นบ้าง อย่างนี้บ้าง
ตามวาระของใครของมัน
..
ความเข้าใจข้อนี้
จะทำให้เรามองโลกได้ง่ายขึ้น สวยงามขึ้น
ใช้ชีวิตได้ดีขึ้น ง่ายขึ้น มีความสุขมากขึ้น
..
ทำร้ายเขา ก็เท่ากับทำร้ายเรา
แบ่งปันให้เขาก็เท่ากับแบ่งปันให้เรา
ยิ้มให้เขาก็เท่ากับยิ้มให้เรา
ฯลฯ
..
ทำอะไร ให้กับใคร อย่างไร
ก็เท่ากับทำให้ตัวเราเอง อย่างนั้นด้วยเช่นกัน
เพราะ "กฏแห่งกรรม" เขาก็คือเรา เท่าเทียมกันทั้งนั้น ..นั่นเอง